วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

[::REVIEW::] Chloé – LOVE, Chloé


[::REVIEW::]
Chloé – LOVE, Chloé
Perfumers : Louise Turner, Nathalie Gracia-Cetto
Launched Year : 2010


Fragrance Notes
Top Notes : Orange Blossom, Pink Pepper
Middle Notes : Iris, Hyacinth, Wisteria, Heliotrope, Lilac
Base Notes : Rice Powder, Talcum, Musk

____________________________________


               LOVE, Chloé หรือที่หลายๆคนถนัดเรียกง่ายๆว่า Chloé Love เป็นไลน์น้ำหอมเล็กๆที่ปัจจุบันยกเลิกสายการผลิตไปแล้วทั้งหมดนะครับ มีสมาชิกด้วยกันทั้งหมดเพียงแค่ 3 รุ่นคือ EDP รุ่นนี้ที่เป็นตัว original, EAU INTENSE ที่ปรับกลิ่นให้เข้มข้น+เป็นทางการมากขึ้น และ EAU FLORALE ที่ปรับกลิ่นให้ใช้ง่าย เบาบาง โดยรุ่น EDP นั้นเป็นผลงานของ Perfumer สองท่าน คือคุณ Louise Turner และ Nathalie Gracia-Cetto ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2010

LOVE, Chloé, LOVE, Chloé EAU INTENSELOVE, Chloé EAU FLORALE

               ในความเห็นผมนั้น LOVE, Chloé เป็นน้ำหอมที่สามารถแสดงออกถึงบุคลิกของหญิงสาวได้ถึงสองด้าน ด้านแรกนั้นคือภาพความ Modern ของสาวสมัยใหม่ ที่ต้องจำกัดคำนิยามว่า Working Women เพราะทุกครั้งที่ผมได้กลิ่นก็มักจะเห็นภาพนักธุรกิจหญิงวัย 25-30 ปีลอยขึ้นมาในจินตนาการ เธอรวบผมทองหางม้าพลิ้วสลวย สวมเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีขาวสะอาด กางเกงสแล็คสีดำ สวมรองเท้าส้นสูงเปรี้ยวๆ เดินสง่าด้วยความมั่นใจในออฟฟิศใจกลางเมืองพร้อมด้วยแฟ้มเอกสารในมือของเธอ ซึ่งนอกจากจะเป็นหญิงบุคลิกมั่นๆ ปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ยังแฝงความเซ็กซี่สไตล์ผู้ดีอยู่ภายใน ถือว่าเป็นน้ำหอมที่ตอบโจทย์มากๆสำหรับหญิงวัยทำงานทุกๆคน

               ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นคือหญิงสาวสไตล์ Vintage ครับ เนื่องจากน้ำหอมกลิ่นนี้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาใน Concept ของความเป็น Retro กลิ่นจึงแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความโบราณ ย้อนยุค ดังนั้นอีกภาพที่ผมนึกถึงคือสาวผมบลอนด์ในเครื่องแต่งกายโทนสี Beige ไม่ว่าจะเป็นเสื้อชีฟองสีครีมตัวหลวมๆพริ้วๆ กับกางเกงขาบานสีน้ำตาลอ่อน ขับรถเปิดประทุนรุ่น Classic สีครีมเช่นเดียวกัน กับฉากหลังเป็นคฤหาสน์ทรงยุโรป ฯลฯ ใครชอบลุคไหนสามารถเลือกได้เลยครับ เพราะ LOVE, Chloé ตอบโจทย์ได้ดีทั้งคู่

               LOVE, Chloé เป็นน้ำหอมแนว Floral – Powdery ที่ให้กลิ่นเด่นด้วยดอกไม้สีม่วงนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น
  1. ดอก Iris
  2. Hyacinth
  3. Wisteria
  4. Heliotrope
  5. Lilac
               Top Notes เปิดมาทำเอาผมอึดอัดและเสียดจมูกได้เล็กๆ นำด้วยดอก Iris ที่ให้กลิ่นอยู่กึ่งกลางระหว่างโทน Floral และ Powdery ส่งผลให้กลิ่นเปิดตัวนั้นมาแบบ Floral หวานฉ่ำ นวลแน่น ตลบอบอวล เมื่อรวมกันโทน Powdery แล้วให้กลิ่นคล้ายแป้งร่ำ น้ำอบน้ำปรุง น้ำหอมโบราณ หรือแป้งน้ำหอม พูดแบบนี้แต่กลิ่นไม่แก่นะครับ เพราะจริงๆ concept ที่ Perfumer ทั้งสองท่านวางไว้นั้นคือกลิ่นสไตล์ Retro ดังนั้นเนื้อกลิ่นจึงมีภาพลักษณ์ความ Vintage ติดมาด้วย


               เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางเนื้อกลิ่นที่แน่นและอึดอัดจากช่วงต้นจะค่อยๆคลายตัวลง ช่วงนี้ให้ความหอมโทน Floral จากดอกไม้สีม่วงนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น Hyacinth, Wisteria, Heliotrope และ Lilac หากทว่าดาวเด่นจริงๆยังคงเป็นดอก Iris เช่นเดียวกับช่วงต้น ในขณะที่โทน Powdery ที่เด่นไม่แพ้กันได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นความแห้งสนิทแทน  คล้ายกลิ่นแป้งฝุ่นเนื้อเนียนละเอียดที่ถูกลูบไล้ทาลงบนผิวมากกว่าจะเป็นกลิ่นของน้ำหอม ดูเป็นธรรมชาติดีครับ นับเป็นกลิ่นที่สวย ทั้งมีเสน่ห์ชวนชายตามอง และยัง Sexy แบบ Feminine อีกด้วย


               Base Notes ส่งต่อกลิ่นโทน Powdery สไตล์แป้งหอมฟุ้งๆด้วยโน้ตของ Talcum และ Rice Powder หรือเรียกเป็นภาษาไทยให้เข้าใจกันง่ายขึ้นก็คือ เป็นกลิ่นจากแป้งฝุ่นกับแป้งข้าวจ้าวนั่นเอง โน้ตมีความน่าสนใจมากครับ โดยเฉพาะแป้งข้าวจ้าวที่ให้กลิ่นคล้ายหวานแบบแห้งๆใสๆ คล้ายกลิ่นรวงข้าวจริงๆ เสมือนเดินในทุ่งนาที่เต็มไปด้วยรวงข้าวสีทองสุดลูกหูลูกตา


               LOVE, Chloé รุ่นนี้เป็นรุ่น Original ของไลน์ มาในเบสความเข้มข้นของหัวน้ำหอมระดับ Eau de Parfum ด้านความติดทนและกระจายตัวนั้นทำได้ดีถึงขั้นดีมากทั้งคู่ สำหรับผมอยู่ได้เกิน 10 ชั่วโมง พร้อมกับ sillage ที่โชยออกมาได้เรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย แนะนำให้ฉีดเพียง 1-2 สเปรย์ก็เพียงพอแล้วนะครับเพราะเนื้อกลิ่นค่อนข้างแน่นและเข้มข้นดีทีเดียว ไม่จำเป็นต้องฉีดเยอะกลิ่นก็ฟุ้งทั้งวันแล้ว หากสเปรย์หนักมืออาจจะอึดอัดได้ทั้งคนรอบข้างและตัวผู้ฉีดเองได้ แต่หากใครชอบกลิ่นน้ำหอมชัดๆหรืออยากฉีดดมเอง ก็จัดหนักๆได้เลยตามสบาย

               สำหรับเมืองไทย LOVE, Chloé เหมาะสำหรับช่วงฤดูหนาวหรือที่อากาศเย็นซักหน่อย เพราะมีเนื้อกลิ่นค่อนข้างหนัก อาจจะไม่เหมาะนักสำหรับอากาศร้อนอบอ้าว แต่หากควบคุมปริมาณการฉีดก็สามารถใช้ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากวันทั้งวันคุณอยู่แต่ในห้องแอร์ฉ่ำๆก็ใช้ได้เลยไม่มีปัญหา ใส่ทำงาน หรือใส่เที่ยวออกเดทในบรรยากาศโรแมนติกก็ได้ทั้งนั้น


Chloé – LOVE, Chloé's Commercial
_____________________________________________________

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2563

[::REVIEW::] MUGLER – ANGEL EAU CROISIÈRE



[::REVIEW::]
MUGLER – ANGEL EAU CROISIÈRE
Perfumer : Sidonie Lancesseur
Launched Year : 2019


Fragrance Notes
Mango, Grapefruit, Blackcurrant Sorbet, Patchouli, Praliné

_____________________________________


               ANGEL EAU CROISIÈRE เป็นน้ำหอมรุ่น Limited Edition ที่ถูกส่งออกมาเพื่อต้อนรับฤดูร้อนปี 2019 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกลิ่นอายความสุขของการล่องเรือในทะเล และรสชาติเปรี้ยวอมหวานของ Cocktail ที่มอบความสดชื่น ซาบซ่า และมีชีวิตชีวา ซึ่งสำหรับตัวผมเอง บอกก่อนเลยว่านี่คือน้ำหอมกลิ่นโปรดอันดับ 1 ในตระกูล ANGEL เพราะเป็นรุ่นเดียวที่กลิ่นไม่หนัก และจมูกผมสามารถรับได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

               จะเห็นได้ว่า Concept ของ ANGEL EAU CROISIÈRE  นั้นแตกต่างจากรุ่น original แบบคนละขั้วกันเลยทีเดียวนะครับ flanker รุ่นนี้เปรียบได้กับลูกไม้ไกลต้น เพราะให้กลิ่นแนว Floral – Fruity ที่น่ารักสดใสมาก มันทั้งอ่อนเยาว์ ทั้งสดชื่น ชุ่มฉ่ำ และยังหอมหวาน ราวกับดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานแช่เย็นจัดๆบนชายหาด Miami หรือเกาะ Hawaii เรียกได้ว่ากลิ่นมีความ Tropical แบบ 100% เลยก็ว่าได้ สไตล์กลิ่นจะมาแนวเดียวกับน้ำหอมแบรนด์ ESCADA ที่หอมน่ารักและเข้าถึงง่ายกับทุกคน หากแต่มาในคุณภาพระดับ Thierry Mugler ใครชื่นชอบน้ำหอมแบรนด์นี้ผมว่าไม่ควรพลาด



น้ำหอมแบรนด์ ESCADA
SORBETTO ROSSO, ROCKIN' RIO, MIAMI BLOSSOM, CHERRY IN THE AIR, MOON SPARKLE

               Perfumer ผู้ปรุงแต่งน้ำหอมกลิ่นนี้ขึ้นมาคือคุณ Sidonie Lancesseur ซึ่งเธอได้เลือกใช้วัตถุดิบที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่อย่างมารังสรรค์เป็น ANGEL EAU CROISIÈRE ซึ่งส่วนผสมดังกล่าวนั้นประกอบด้วย

  1. มะม่วงสุก
  2. ผล Grapefruit
  3. ไอศกรีม Blackcurrant Sorbet
  4. Patchouli หรือใบพิมเสน และ
  5. ขนม Praline

               หากวิเคราะห์เบื้องต้นจากโน้ตต่างๆที่ปรากฏ ก็คงต้องบอกเลยว่าน่ากินเกือบทุกอย่างเลยครับ 555 ที่โดดเด่นสุดเห็นจะเป็นมะม่วงสุกที่เป็นตัวการหลักของกลิ่นอายโทน Tropical Fruity และในขณะเดียวกัน Perfumer ก็พยายามที่จะนำเอกลักษณ์ความเป็น ANGEL โยงเข้าหาด้วยโน้ตของ Patchouli ที่เป็น Signature ของไลน์ ผนวกกับโน้ตของ Praline ที่ทำหน้าที่แทน Chocolate และ Caramel จากตัว Original

               กลิ่น Top Notes นั้นมาแบบ Juicy มากกกก มันช่างสดชื่น หวานฉ่ำ อมเปรี้ยว แล้วก็น่ากัดกินแบบสุดๆ ผมเชื่อว่าสาวๆได้กลิ่นแล้วต้องกรี๊ดกันอย่างแน่นอนครับ เพราะเปิดด้วยกลิ่นหอมของมะม่วงเป็นอย่างแรก เป็นมะม่วงที่สุกงอมจัดๆ สุกในชนิดที่ว่าหากไม่รีบกัดกินมันซะตั้งแต่ตอนนี้ พรุ่งนี้ก็คงต้องอดกินเพราะเน่าเสียก่อน และเมื่อกัดกินเข้าไปแล้ว เนื้อมะม่วงหวานๆฉ่ำน้ำระเบิดทะลักท่วมปาก (ทางนี้เขียนรีวิวไปก็น้ำลายไหลไป) บอกเลยว่านี่คือกลิ่นแห่งความสุขชัดๆครับ ซึ่ง ณ จุดนี้ฟีลลิ่งของ ESCADA นั้นขนมาเต็มร้อย ถ้าไม่บอกว่านี่คือน้ำหอมจากไลน์ ANGEL บ้าน MUGLER ผมก็คงไม่มีทางเชื่อ

               ทิ้งไว้ไม่นานก็เริ่มเข้าช่วงกลาง ความ Juicy ฉ่ำน้ำของมะม่วงที่สุกงอมจัดๆนั้นลดระดับลงเล็กน้อย ผนวกเข้ากับกลิ่นเปรี้ยวจี๊ดคมๆของผล Grapefruit และไอศครีม Blackcurrant Sorbet ที่เปรี้ยวซ่าจนตาหยี คือมันหอมน่ากินจนไม่รู้จะบรรยายว่ายังไงจึงจะเห็นภาพดี 555 ลองจินตนาการถึง Cocktail มะม่วงดูก็ได้ครับ หรือจะเป็นไอศกรีมมะม่วงเชอร์เบทก็ได้ เป็นกลิ่นที่ถูกสร้างมาเพื่อ Mango Lover โดยเฉพาะ เนื้อกลิ่นดีและเป็นธรรมชาติมาก ต่างจากกลิ่นมะม่วงที่พบได้ทั่วไปแน่นอนเพราะตัวนี้ไม่หนักจมูก และไม่เวียนหัวแต่อย่างใด

               หากใครที่เป็นสาวกและคาดหวังว่าจะได้พบกลิ่นอายของ ANGEL รุ่นแม่แบบในช่วง Base Notes ผมต้องแสดงความเสียใจด้วยครับ เพราะแม้ทาง Perfumer จะใส่โน้ต Patchouli กับ Praline เข้ามาด้วยก็ตาม แต่มันช่างอ่อนบางมากจนผมแทบจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึง DNA ของรุ่น original ได้เลย ในทางตรงกันข้าม ช่วงเบสยังคงให้กลิ่นมะม่วงสุกที่ยังคงความ Juicy, Juicy, และก็ Juicy อย่างไม่มีตกครับ

               กลิ่นมาแนว Summer Scent หอมหวานสดชื่นขนาดนี้ แน่นอนว่า ANGEL EAU CROISIÈRE ต้องมาในเบส Eau de Toilette อย่างไม่ต้องสงสัย ด้านความทนและการกระจายกลิ่นก็เป็นไปตามน้ำหอม Summer Scent ทั่วไป คือทำได้ดีในระดับกลางๆ สำหรับตัวผมเองฉีดเทสลงบนผิวก็ติดทนประมาณ 4-5 ชั่วโมงได้อยู่นะครับ ส่วนการกระจายกลิ่นนั้น แรกๆทำได้ดีทีเดียว กลิ่นหอม น่ารัก โชยออกมาเตะจมูกได้อย่างไม่ขาดสาย และจะเริ่มลดระยะ sillage ลงกลายเป็นกลิ่นจางๆติดผิวในตอนท้าย อาจจะต้องอาศัยเหงื่อ หรือ Body Heat ช่วยจากการขยับเขยื้อนร่างกายบ้าง หรืออาจจะต้องมีเติมระหว่างวันซักหน่อยเพื่อเติมความสดชื่น เติมชีวิตชีวา และเติมความน่ากินให้แก่ตัวเอง

               เหมาะสำหรับใส่ในโอกาสลำลองทั่วไปในวันสบายๆ ใส่เที่ยววันหยุดพักร้อน ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ได้หมดเลยครับ หรือถ้าหากจะเอาให้ตรง Concept จริงๆก็คงต้องใส่ไปชายทะเล ยิ่งถ้าหากไปเที่ยวเกาะหรือชายหาดที่มีหนุ่มสาววัยรุ่นเยอะๆ เปิดเพลงสนุกๆ ยิ่งเข้ากันได้ดี เพราะผมได้กลิ่นแล้วภาพบรรยากาศทะเลและชายหาดนั้นลอยมาเลยจริงๆ นึกถึงสาวสวยหุ่นดีสวมเสื้อฮาวายสีเหลือง ตัดกับลายดอกชบาสีแดง ย้ำอีกครั้งนะครับว่ากลิ่นนี้คือที่สุดของ Mango Lover ใครเป็นสาวกมะม่วง รีบไปหามาลองโดยด่วน Limited Edition นะครับ หมดแล้วหมดเลย

_____________________________________

วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

[::REVIEW::] MUGLER – ANGEL



[::REVIEW::]
MUGLER – ANGEL
Perfumers : Olivier Cresp, Yves de Chiris
Launched Year : 1992


Fragrance Notes
Top Notes : Bergamot, Jasmine, Cassia, Coconut, Mandarin Orange, Melon, Cotton Candy
Middle Notes : Apricot, Blackberry, Honey, Jasmine, Lily-of-the-Valley, Orchid, Peach, Plum, Rose, Red Berries
Base Notes : Amber, Caramel, Musk, Patchouli, Chocolate, Tonka Bean, Vanilla

____________________________________


               ANGEL นี่เป็นน้ำหอมกลิ่นแรกของแบรนด์ Thierry Mugler เลยนะครับ ออกมาตั้งแต่ปี 1992 ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงผลิตขายมาอย่างต่อเนื่องเพราะถือเป็นรุ่นเรือธงที่ได้รับความนิยมสูงมาก แถมยังแตก flanker รุ่นลูกรุ่นหลาน รวมถึง limited edition ต่างๆออกมาอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งรุ่นที่ผมกำลังจะเริ่มรีวิวในวันนี้คือรุ่น Eau de Parfum อันแสนโด่งดัง และยังเป็นแม่แบบให้แก่น้ำหอมรุ่นอื่นๆในไลน์เดียวกันอีกด้วยครับ

               ว่ากันว่า ANGEL คือน้ำหอมแนว Gourmand กลิ่นแรกของโลก ซึ่งก็คงจะไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักหากมีใครถามถึงน้ำหอมกลิ่นโทนขนมหวานแล้วจะมีชื่อ ANGEL โผล่ขึ้นมาเสมอ เพราะถือเป็นตัวแม่ของวงการน้ำหอมโทนขนมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ แถมยังมีเครื่องการันตีถึงคุณภาพและความนิยมของมันด้วยรางวัลชนะเลิศในสาขา Fragrance Hall of Fame งาน FiFi Award ประจำปี 2007 ซึ่งถือเป็นงาน Oscar สำหรับวงการน้ำหอมด้วยเลยทีเดียว

               ANGEL จัดเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นซับซ้อน มีชั้นเชิง และแม้จะมาในโทนขนมแต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เข้าถึงยาก ไม่ใช่ทุกคนที่ได้กลิ่นแล้วจะชอบไปซะทั้งหมด แนว love it or hate it ถ้าใครได้กลิ่นแล้วไม่หลงรักก็คงจะเกลียดไปเลยยาวๆ โน้ตเด่นของ ANGEL นั้นประกอบด้วย
  1. Patchouli หรือใบพิมเสน
  2. Chocolate
  3. Caramel
  4. น้ำผึ้ง
  5. Vanilla
  6. Cotton Candy หรือขนมสายไหม

               เป็นยังไงครับ โน้ตแต่ละอย่าง หวานสะใจกันไหม 5555 เห็นหวานๆแบบนี้แต่อย่าได้คิดว่ากลิ่นจะมาทางน่ารัก น่ากิน หรือดูคิกขุเลยนะครับ เพราะจริงๆแล้ว ANGEL นั้นมาในบุคลิกของสาวสาย dark ที่ไม่ได้มาแบบเล่นๆ แต่ความ sexy ของเธอนั้นจริงจัง แถมยังค่อนข้างออกแนว hardcore ด้วยครับ จะว่าน่ากินก็น่ากิน แต่ก็ดุร้ายใช่เล่น ดมกลิ่นครั้งแรกผมอยากจะเปลี่ยนชื่อเป็น DEVIL แทนเพราะความ dark และ sexy ของมันดูไม่น่าจะใช่นางฟ้าอย่างชื่อที่ถูกตั้งนัก แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า concept ของบ้าน Thierry Mugler คือความติสต์หลุดโลกอยู่แล้ว ดังนั้นหากคำว่า ANGEL ของเขาไม่ได้นิยามถึงความสดใสอ่อนโยนก็คงจะไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก

               อ้อ ผมขอแจ้งนิดนึงนะครับว่า ANGEL นั้นมีโน้ตที่เป็นส่วนประกอบรองอยู่เยอะมาก แต่ด้วยความที่ Perfumer (Olivier Cresp และ Yves de Chiris) เขาเบลนด์กลิ่นมาได้ค่อนข้างซับซ้อน โน้ตหลายๆอย่างผมก็เข้าไม่ถึงนะครับ มีจับกลิ่นได้จริงๆแค่ตัวเด่นๆอยู่ไม่กี่อย่าง ขออภัยด้วยครับ (แค่นี้ก็เล่นเอาผมปวดหัวไปหมดแล้ว TT)

               Top Notes ทันทีที่ได้สเปรย์ออกมาจมูกผมก็ได้สัมผัสกับความ dark ที่เต็มแน่นและมีพลังทำลายล้างสูงมากเหลือเกิน เพราะมันเปิดตัวด้วยโทน Oriental, Chypre และ Gourmand ที่ต่างก็พากันถาโถมเข้ามาเตะจมูกอย่างไม่บันยะบันยัง นำด้วยกลิ่น Chocolate ที่เข้มข้นมาก เข้มจนออกไปทางขมปี๋ มาคู่กับกลิ่นของ Caramel หวานๆที่เมื่อรวมกันออกมาแล้วชวนให้นึกถึงของเหลวหนืดสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มไหม้ๆ อารมณ์เหมือนลาวาเหลวร้อนๆในเวอร์ชั่นที่เปลี่ยนจากไฟเป็น Chocolate สีดำสนิทแทน ลองคิดดูนะครับว่าถ้าเปรียบเป็นตัวคนจะ sexy เร่าร้อนและน่ากินได้ขนาดไหนกัน ซึ่งทั้งคู่นั้นโดดเด่นเฉิดฉายอยู่บน Patchouli ที่มอบความรู้สึก Chypre หรูหราปนสากจมูกรองพื้นอยู่ด้านหลังครับ

               เมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง ความสากจมูกของ Patchouli นั้นเบาบางลง เผยให้ได้สัมผัสถึงความ dark ที่ ANGEL พาดำดิ่งลงไปสู่ความ deep อันแสนมืดมิด ทว่าความหวานโทนขนมสาย Hardcore ก็ยังคงประคับประคองอยู่ควบคู่กันไปเช่นกัน ผมแอบจับกลิ่นหวานแบบน่ารักๆแซมอยู่อ่อนๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นกลิ่นสายไหมกับกลิ่นหวานหยดย้อยของน้ำผึ้งที่เพิ่มเข้ามาได้ในช่วงนี้ ราวกับว่าน้ำผึ้งนั้นถูกเติมเข้ามาเพื่อช่วยปรับโทนหวานให้มีความกลมกล่อมมากขึ้น เป็นความสมดุลกันพอดิบพอดีระหว่างความหวานและความ dark ครับ

               Base Notes นั้นมาแบบอบอุ่น ไม่ร้อนแรงเท่าตอนแรกแล้ว เหลือแค่ความอบอุ่นกรุ่นๆที่น่าเข้าหาแทน เป็นช่วงของ Vanilla, Amber, และถั่ว Tonka Bean ทั้งนี้ทั้งนั้น ตลอดช่วงอายุกลิ่น Patchouli โชยมาตลอดนะครับ ช่วงนี้ผมสเปรย์บนผิวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง แต่กลิ่นยังคงโชยมาได้เรื่อยๆ โดยมาแบบอ่อนหวาน เย้ายวน ไม่ได้ดุร้ายอันตรายเท่าช่วงแรกๆ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่กลิ่นมีความลดระดับความเข้มข้นลงมาบ้างเพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นผมคงได้ไข้ขึ้นกันเลยทีเดียว

               ANGEL EDP แน่นอนว่าหัวน้ำหอมต้องใส่มาในระดับ Eau de Parfum นะครับ และอย่างที่กล่าวไปคือความทนและการกระจายตัวของ sillage ทำได้ดีมาก ดีในลักษณะที่ว่า ดีเกินไป น้ำหอมรุ่น intense ของหลายๆแบรนด์ยังสู้ไม่ได้ หากใครชื่นชอบและอยากใช้ในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบเมืองไทยก็อาจจะต้องมีปรับปริมาณการฉีดให้เหมาะสมนะครับ โดยเฉพาะช่วงแรกถึงกลางๆที่กลิ่นมีพลังทำลายล้างสูงมาก สเปรย์อย่างเบามือคนรอบข้างน่าจะโอเคกว่าเพราะอย่าลืมว่านี่คือกลิ่นแนว love it or hate it ซึ่งผมก็คิดว่าคงมีคนไม่น้อยที่อยู่ในกลุ่ม hate it (และผมก็อยู่ในกลุ่มด้วยอีกหนึ่งคน TT)

               ANGEL เป็นน้ำหอมกลางคืนนะครับ เหมาะสำหรับใส่ในสถานที่ที่อากาศเย็นฉ่ำจนถึงขั้นหนาว ใส่เที่ยวกลางคืนเหมาะมาก ปาร์ตี้สังสรรค์กับแก๊งเพื่อนสาวในผับบาร์หรูกลางเมืองก็คงจะเด่นสุดในกลุ่ม มองในมุมเพื่อนสาวก็คงจะทั้งเผ็ด ทั้งแซ่บ เป็นดาวโต๊ะได้เลยทีเดียว หรือจะใส่ล่าเหยื่อก็น่าจะได้ติดไม้ติดมือกลับห้องบ้างบ่อยครั้งหากสเปรย์อย่างเบามือ พอให้มีเสน่ห์ชวนเหยื่อเหลียวหลังมาติดกับ ไม่ควรใส่ในยามกลางวันร้อนๆครับ โดยเฉพาะทำกิจกรรมกลางแจ้ง เรียนหนังสือ พบปะผู้ใหญ่ ฯลฯ


MUGLER - ANGEL's commercial video

____________________________________

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562

[::REVIEW::] GIORGIO ARMANI – ACQUA di GIOIA eau de toilette



[::REVIEW::]
GIORGIO ARMANI – ACQUA di GIOIA eau de toilette
Launched Year : 2014


Fragrance Notes
Top Notes : Primofiore Lemon, Blackcurrant, Pear, Violet Leaf
Middle Notes : Peony, Candied Jasmine, Jasmine Sambac
Base Notes : Cedarwood, Cashmere, Brown Sugar

______________________________________


               Flanker รุ่น EDT ออกหลังรุ่น original ถึง 4 ปีกันเลยทีเดียวนะครับ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าทาง ARMANI ไม่จำเป็นต้องออกรุ่น EDT ออกมาแล้วก็ได้ เพราะหนึ่งปีก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะปล่อยรุ่น eau fraîche ออกมาหมาดๆ ซึ่งทั้งคู่ก็มาในคอนเซปเดียวกัน คือการปรับลดระดับกลิ่นรุ่นดั้งเดิมให้เบาลง และเพิ่มเติมความสดชื่นเข้าไปอีกหน่อยแค่นั้นเอง

ACQUA di GIOIA eau fraîche

               สำหรับรุ่นนี้มาในขวดแก้วแบบขุ่นนะครับ (ต่างจากรุ่น EDP และ eau fraîche ที่เป็นขวดใส) นอกจากจะปรับลดระดับหัวน้ำหอมลงมาเป็น EDT แล้ว ตัวกลิ่นเองก็มีต่างอยู่บ้างเช่นกัน เมื่อเทียบกันแล้วพบว่ากว่า 70% ยังคงให้กลิ่นเช่นเดียวกับตัวต้นแบบ ต่างที่รุ่นนี้ถูกปรับลดทอนความหวานลง กลิ่นจึงหวานน้อยกว่า, เบากว่า, ใสกว่า ตามคอนเซปทั่วๆไปของน้ำหอมรุ่นย่อยที่เป็น EDT โดยโน้ตหัวใจหลักของรุ่นนี้คือ Lemon, ลูก Pear, มะลิ, และดอก Peony ให้กลิ่นแนว Floral – Aquatic ที่ใช้ง่าย เบาสบาย ชวนนึกถึงภาพชายหาดที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังซู่ซ่าในวันอากาศเย็นๆ

               กลิ่นเปิดตัวมาแบบ Fruity สดชื่นหวานฉ่ำมากครับ นำด้วยโน้ตของ Primofiore Lemon หรือลูกเลม่อนสายพันธุ์สเปน ออกกลิ่นเปรี้ยว Citrus คมๆซ่าๆเฉกเช่นเดียวกับรุ่น EDP หากแต่โน้ตที่ให้ความหวานในรุ่นนี้คือลูกแพร์ ดังนั้นกลิ่นจึงออกทางหวานใส ไม่หนักจมูก ลองจินตนาการถึงกลิ่นลูกแพร์หรือสาลี่ดูก็ได้ครับ กลิ่นจะหวานใสแบบนั้นเลย แอบมีใบ Violet Leaf มาเติมความเขียวอ่อนๆในช่วงต้นอีกด้วย

               ตอนผมทำรีวิวกลิ่นนี้ ผมเทสกลิ่นไปพร้อมๆกับตัว EDP เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของทั้งสองรุ่น ซึ่งในรุ่นนี้กลิ่นช่วงกลางนั้นออกทาง Floral ด้วยกลิ่นดอก Peony กับมะลิ เจือโทน Aquatic ที่สะอาด เย็นชื่นใจ และบางใสราวกับน้ำแร่ โดยกลิ่น Lemon จากช่วงต้นก้ยังคงส่งทอดมาถึงช่วงนี้ได้ และลากยาวไปจนช่วงท้ายเลยครับ

               Base Notes นั้นอันที่จริงผมมองว่าไม่ต่างจากช่วงกลางสักเท่าไหร่ นอกจากกลิ่นที่ดูเงียบลง กลายเป็นกลิ่นสะอาดๆติดผิว ซึ่งหากอิงจาก Pyramid Notes ช่วงนี้ออก Woody ด้วยไม้ Cedar กับไม้ Cashmere นะครับ แต่ส่วนตัวผมไม่รู้สึกถึงความ Woody ใดๆทั้งสิ้น

               ACQUA di GIOIA eau de toilette ติดทนไม่มากนะครับ อยู่ระดับกลางๆค่อนไปทางจางไวเนื่องจากการปรับลดระดับหัวน้ำหอมลงจากรุ่นต้นแบบลงมาเป็น EDT นั่นเอง สำหรับผิวของผมอยู่ได้ราว 4-6 ชั่วโมง การกระจายกลิ่นทำได้เรื่อยๆ โชยขึ้นมาเบาๆตามจังหวะการขยับเขยื้อนร่างกาย แต่ข้อดีคือสามารถใช้เป็นกลิ่น safe scent ได้ เหมาะสำหรับคนที่ชอบรุ่น original แต่คิดว่ากลิ่นแรงไป ใส่แล้วรู้สึกอึดอัด แนะนำให้ลอง flanker รุ่นนี้ดูครับ

               ปัจจุบัน ACQUA di GIOIA eau de toilette ยกเลิกสายการผลิตแล้วนะครับ แต่ยังพอหาซื้อได้ตามเค้าเตอร์หรือ Duty Free จนกว่าสินค้าล็อตนี้จะหมด ใครสนใจหรือชอบใช้กลิ่นนี้อยู่แล้ว แนะนำให้รีบตามเก็บครับ

               เหมาะสำหรับสาววัย 18 ปีเป็นต้นไป สาวๆคนไหนกำลังมองหาน้ำหอม summer scent กลิ่นสบายๆ ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย ACQUA di GIOIA EDT เป็นอีกกลิ่นหนึ่งที่น่าสนใจ โดยใช้ได้ตั้งแต่โอกาสลำลองยามกลางวันทั่วไป เช่นใส่เที่ยวพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกาย ไปจนถึงใส่เรียนหรือทำงานก็ยังได้ หรือถ้าอยากเข้ากับธีมของน้ำหอมก็ลองใส่เที่ยวป่าเขาหรือเที่ยวชายทะเลได้เลยครับ โดยเหมาะสำหรับฤดูร้อน ซึ่งแน่นอนว่าเมืองไทยเราใช้กลิ่นนี้ได้ตลอดปี


______________________________________

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

[::REVIEW::] GIORGIO ARMANI – ACQUA di GIOIA



[::REVIEW::]
GIORGIO ARMANI – ACQUA di GIOIA
Perfumers : Loc Dong, Anne Flipo, Dominique Ropion
Launched Year : 2010


Fragrance Notes
Top Notes : Mint Leaf, Water Note, Lemon
Middle Notes : Jasmine, Peony, Pink Pepper
Base Notes : Brown Sugar, Labdanum, Cedar

___________________________________________


               น้ำหอมไลน์ ACQUA di GIOIA เป็น Generation รุ่นลูกที่แตกตัวออกมาจาก ACQUA DI Giò รุ่นของฝ่ายหญิงอีกทอดหนึ่งนะครับ โดยทางแบรนด์ ARMANI ได้นำรุ่นแม่แบบที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 1995 มาปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้อ่อนเยาว์ลง และปรับกลิ่นให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าสมัยใหม่ที่มีรสนิยมการใช้น้ำหอมต่างไปจากเดิม โดยยังคงใช้โทนกลิ่นแบบ Floral – Aquatic มาเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงรุ่นแม่กับรุ่นลูกให้เข้าหากันได้

GIORGIO ARMANI - ACQUA DI Giò

               ทางแบรนด์ประกาศเปิดตัว ACQUA di GIOIA ในเดือนมีนาคม ปี 2010 โดยมีคอนเซปคือ “Escape to the nature” หรือการหันหลังกลับคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งทาง Perfumer ทั้ง 3 ท่านได้จำลองบรรยากาศของสายน้ำ ต้นไม้ใบหญ้า และป่าไม้ฝนตกชุกมาไว้ให้ได้สัมผัสกันในขวดนี้เลยครับ โดยผนวกเข้ากับแรงบันดาลใจจาก Armani Pantelleria Villas สถานตากอากาศส่วนตัวที่คุณ Armani สร้างไว้บนเกาะ Pantelleria ประเทศอิตาลีนั่นเอง

Armani Pantelleria Villas, Pantelleria, Italy

               ACQUA di GIOIA เป็นน้ำหอมแนว Floral – Aquatic ที่ให้กลิ่นที่สดชื่น เย็นสบาย และชุ่มฉ่ำราวกับสายน้ำ มีหัวใจหลักคือลูก Lemon, ใบ Mint, ดอกมะลิ, และน้ำตาลทราย ที่ผสมผสานรวมตัวกันเกิดเป็นกลิ่นอมเปรี้ยวอมหวาน ดู playful มีชีวิตชีวา ตามสโลแกน “The new essence of joy” ที่เขาตั้ง

               Top Notes นั้นจะว่าสดชื่นก็สดชื่นมาก แต่หากบางคนจะว่าหวาน ก็หวานอยู่พอสมควรเช่นกันครับ เปิดตัวด้วยกลิ่นลูก Lemon กับใบ Mint ที่รวมกันออกมาแล้วสดชื่น หวานฉ่ำ และออกโทน Aquatic ซ่าๆหน่อย โดยกลิ่น Lemon นั้นทำหน้าที่มอบความเปรี้ยว Citrus คมๆ เจือกับกลิ่นใบ Mint ที่มอบความเขียวและเย็น ซึ่งส่วนตัวผมนั้นกลับได้กลิ่นโทน Fruity เด่นกว่าใครเพื่อนเลยครับ ออกทาง Juicy อีกด้วย กลิ่นน่ากินมาก ราวกับน้ำผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว อะไรทำนองนั้นเลย

               ช่วงกลางมีดอกมะลิขึ้นมาสมทบแก่ Lemon และ Mint โดยส่งกลิ่นโทน Floral ที่ได้ฟีลใสสะอาด เย็นชื่นใจ ลอยไปมาท่ามกลางโทนกลิ่น Aquatic นับเป็นน้ำหอม summer scent ที่ผมชอบมากๆอีกกลิ่นหนึ่ง ได้กลิ่นทีไรผมมักจะนึกถึงวันที่อากาศแจ่มใส รอบตัวมีแต่ต้นไม้สีเขียวร่มรื่นมากมายเต็มไปหมด บรรยากาศแห่งความสุขชัดๆครับ :)

               โน้ตที่ถือเป็นไฮไลท์ของ AQUA di GIOIA อีกอย่างนั้นคือน้ำตาลทรายแดงในช่วง Base Notes แต่น่าเสียดายที่ผมแทบจะจับกลิ่นของมันไม่ได้เลย ในทางกลับกัน ช่วงนี้กลับมาทางสาย Woody แทนครับ ซึ่งเป็นกลิ่นของไม้ Cedar ที่ส่งกลิ่นออกมาอ่อนๆเบาๆ แซมไปกับกลิ่นใสๆที่สืบทอดมาตลอดช่วงอายุกลิ่นนั่นเอง

               แม้ ACQUA di GIOIA จะเป็นน้ำหอมในโซน Aquatic สะอาดๆ คลีนๆ กลิ่นใส สดชื่น แต่ถึงกระนั้นก็มาในเบส Eau de Parfum กันเลยทีเดียวนะครับ ความทนทำได้ค่อนข้างดี บนผิวผมผ่านไป 8 ชั่วโมงยังคงได้กลิ่นกระจายออกมาอ่อนๆ ส่วน sillage โดยรวมนั้นอยู่ในระดับปานกลางครับ กระจายตัวได้พอดิบพอดี ไม่ฟุ้งจนคนรอบข้างรำคาญหรืออึดอัด แต่ก็ไม่ถึงกับกลิ่นเงียบปลอดภัยจนเป็นน้ำหอม safe scent ซะทีเดียว เรียกได้ว่าทุกอย่างยังคงดำเนินอยู่ทางสายกลางก็น่าจะประมาณนั้นเลยครับ

               เหมาะสำหรับสาววัย 18 ปีเป็นต้นไปครับ สาวๆคนไหนกำลังมองหาน้ำหอม summer scent กลิ่นสบายๆ ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย ACQUA di GIOIA เป็นอีกกลิ่นหนึ่งที่น่าสนใจ โดยใช้ได้ตั้งแต่โอกาสลำลองยามกลางวันทั่วไป เช่นใส่เที่ยวพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกาย ไปจนถึงใส่เรียนหรือทำงานก็ยังได้ หรือถ้าอยากเข้ากับธีมของน้ำหอมก็ลองใส่เที่ยวป่าเขาหรือเที่ยวชายทะเลได้เลยครับ โดยเหมาะสำหรับฤดูร้อน ซึ่งแน่นอนว่าเมืองไทยเราใช้กลิ่นนี้ได้ตลอดปี

               อ้อ! ขอทิ้งท้ายนิดหน่อย ปัจจุบันทางแบรนด์ได้ทำการเปลี่ยน packaging ของน้ำหอมไลน์นี้หมดแล้วนะครับ โดยน้ำหอมที่ผลิตล็อตปี 2019 เป็นต้นไปจะเปลี่ยนเป็นขวดแบบใหม่ตามภาพด้านล่าง (แต่ผมยังคงใช้รูปของขวดรุ่นเก่าอยู่เพราะชอบเป็นการส่วนตัวครับ)


___________________________________________

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

[::REVIEW::] VERSACE – EROS



[::REVIEW::]
VERSACE – EROS
Perfumers : Aurélien Guichard
Launched Year : 2012


Fragrance Notes
Top Notes : Mint Leaf, Italian Lemon, Green Apple
Middle Notes : Venezuelan Tonka Bean, Ambroxan, Geranium
Base Notes : Madagascan Vanilla, Atlas Cedar, Virginia Cedar, Vetiver, Oakmoss

_______________________________________


               EROS เป็นน้ำหอมชายจาก VERSACE ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทพนิยายกรีกโบราณ กล่าวถึง Eros ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความปรารถนา, ความดึงดูดชวนเข้าใกล้ และความรักใครลุ่มหลงในแง่กามารมณ์ ซึ่งในภาคโรมันนั้น Eros เปรียบได้กับ Cupid หรือกามเทพนั่นเองครับ หากใช้คำว่ากามเทพทุกคนน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า เพราะเราทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีกับภาพของเทวดาเด็กตัวเล็กๆติดปีกสีขาว มีธนูกับคันศรสีทองที่ใช้สำหรับยิงเพื่อให้คู่รักสมหวัง แต่สำหรับ EROS นั้นไม่ได้มาในธีมน่ารักขนาดนั้น เพราะเน้นไปทาง Erotic ชัดเจน

รูปปั้นหินอ่อนของ Eros และ Psyche
แกะสลักโดย Antonio Canova ในปี ค.ศ.1787

               ตามตำนานเล่าว่าใครก็ตามที่ถูกกามเทพแผงศรใส่ คนผู้นั้นมีอันต้องตกหลุมรักอย่างไม่อาจควบคุมได้ เช่นเดียวกับน้ำหอมกลิ่นนี้ที่ทาง VERSACE นำความเชื่อตรงส่วนนี้มาเป็นจุดขาย ว่าใครก็ตามที่ได้กลิ่น EROS ย่อมตกหลุมรักอย่างไม่อาจต้านทานได้เช่นกัน

               กลิ่นของ EROS นั้นเต็มแน่นไปด้วยความ Oriental ที่เย้ายวนเต็มพิกัด เด่นด้วยกลิ่น Vanilla, ถั่ว Tonka Bean และใบ Mint ที่รวมกันออกมาแล้วให้กลิ่นแนวเดียวกับ LE MALE โดย Jean Paul GAUTIER คือเป็นน้ำหอมชายที่ให้กลิ่น sexy หวานรัญจวน เย้ายวน ชวนเข้าหา ชวนคลุกคลีคลอเคลีย และสื่อถึงความต้องการอย่างว่าได้ตรงๆไม่อ้อมค้อม ผมว่าทั้งสองเป็นกลิ่นที่มีแรงดึงดูดฝ่ายตรงข้ามสูงมากไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบกลิ่นแนวนี้ซักเท่าไหร่ครับเพราะเป็นคนแพ้น้ำหอมกลิ่นหนักๆหวานๆ และเนื้อกลิ่นของ EROS เองหนักเอาเรื่อง แต่ถึงยังไงก็เบากว่า LE MALE และยังหอมกว่าด้วยในความรู้สึกผม

Jean Paul GAUTIER – LE MALE

               Top Notes เปิดด้วยกลิ่น Apple กับลูก Lemon เจือกลิ่นเขียวเย็นๆของ Mint ซึ่งทั้งสามนั้นให้ที่กลิ่นสดชื่นก็จริง หากแต่ไม่ได้มาแนว Fruity หรือ Citrus โปร่งๆนะครับ เพราะพื้นเพของกลิ่นปูทางมาสาย Oriental กันตั้งแต่ต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากโน้ต Tonka Bean จากช่วงกลางนั้นโดดออกมาไวมาก ดังนั้นกลิ่นจึงเต็มแน่น, Creamy, Dark และอบอุ่น ให้ความ Sexy ยั่วยวนเรียกแขกตั้งแต่แรกเริ่มดัง Concept ที่เขาว่า

               เข้าสู่ช่วงกลาง เมื่อกลิ่นเริ่ม set ตัวเข้าที่เข้าทางได้เราจะพบกับ Tonka Bean กันแบบเต็มๆ และสิ่งที่ยังหลงเหลือจากตอนต้นส่งทอดมาต่อในช่วงนี้คือใบ Mint ครับ ยังคงให้ความเขียวและเย็นอ่อนๆควบคู่กันไปตลอดช่วงอายุกลิ่น สมทบด้วย Vanilla จากช่วง Base Notes ที่แทรกตัวขึ้นมาค่อนข้างไว ซึ่งเมื่อ Tonka Bean มาเจอกันกับ Vanilla ก็เข้ากันได้ดีมากครับ เนียนเป็นเนื้อเดียวกันราวกับเป็นเนื้อคู่กันเลยทีเดียว

               Base Notes เป็นช่วงเฉิดฉายของทั้งถั่ว Tonka Bean เข้มๆ และ Vanilla หวานๆ สำหรับน้ำหอมกลิ่นนี้ทาง Perfumer เลือกใช้พันธุ์ Madagascan Vanilla เป็นวัตถุดิบนะครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่คุณภาพดีและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย (อีกชื่อที่น่าจะเคยได้ยินคือ Bourbon Vanilla นั่นเอง) จริงๆจากข้อมูลที่นำมาอ้างอิง มีไม้สน Cedar, หญ้าแฝก และ Oakmoss เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย แต่ส่วนตัวจับกลิ่นไม่ได้เลย อาจจะเพราะโดนกลบไปซะเยอะกลิ่นเลยไม่ชัดนัก ต้องขออภัยด้วยครับ :)

               โดยภาพรวมกลิ่นออกแนวหนุ่มเจ้าชู้ มีเสน่ห์ รักความ Romantic แต่สำหรับตัวผมเอง ผมว่าชักจะเกินคำว่า Romantic ไปหน่อย เพราะมันได้อารมณ์ sexy แบบดุเดือดเร้าใจชัดเจนมาก ชวนนึกถึงการร่วมรักแบบ erotic ที่เร่าร้อนดูดดื่ม กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งก็คิดว่าน่าจะตอบโจทย์สำหรับหนุ่มๆสายเที่ยวกลางคืนได้ดีครับ ตัวนี้ผมให้ขึ้นแท่นน้ำหอมเรียกแขกตีกับ LE MALE ได้สบายๆ แต่อาจจะตกเป็นรองด้านความ Classic ที่ LE MALE นั้นนำหน้าอยู่ไกลโขเพราะชื่อเสียงและความนิยมเขาโด่งดังมานานมากแล้ว ดังนั้น EROS จึงเปรียบได้กับเป็น Generation ใหม่ของ LE MALE ในความเห็นผมครับ

               แม้ว่า EROS รุ่นนี้จะมาในเบส Eau de Toilette แต่อย่าเพิ่งคิดว่ากลิ่นจะติดไม่ทนนะครับ เพราะติดทนมากกกกก อยู่ได้ตั้งแต่ 10 ชั่วโมงขึ้นไปกันเลยทีเดียว เนื้อกลิ่นแน่นและกระจายตัวได้ดีสุดๆ แนะนำให้สเปรย์กันอย่างเบามือก่อนนะครับ ถ้ายังคิดว่ากลิ่นแรงไม่พอค่อยเติมซ้ำ เหมาะสำหรับใส่ในยามค่ำคืน ช่วงฤดูหนาว หรือสถานที่ที่อากาศเย็นๆ ใส่เที่ยวกลางคืน ออกล่าเหยื่อ เหมาะมาก ใส่ dinner หรืออยู่กับคนรักชายหรือหญิงสองต่อสองก็มีโอกาสงานเข้าได้สูงเพราะกลิ่น sexy เหลือเกิน ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการใส่ออกแดดในชีวิตประจำวันที่ร้อนอบอ้าวหลังเปียกครับ :)


VERSACE – EROS's commercial video

_______________________________________