วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

[::REVIEW::] Dior – EAU SAUVAGE COLOGNE



[::REVIEW::]
Dior – EAU SAUVAGE COLOGNE
Perfumer : François Demachy
Launched Year : 2015


Fragrance Notes
Mandarin, Calabrian bergamot, Grapefruit, Vetiver, Hedione, Pink pepper, Petitgrain, Galbanum

__________________________________________


               น้ำหอมกลุ่ม EAU SAUVAGE ก็เป็นอีกหนึ่งในตระกูลน้ำหอม Classic ขึ้นหิ้งของ Dior ไปแล้วนะครับ เนื่องจากเป็นน้ำหอมเก่าแก่ โบราณ และอยู่เคียงคู่กับแบรนด์มาอย่างยาวนาน โดยรุ่นแม่แบบนั้นออกวางขายครั้งแรกเลยในปี ค.ศ.1966 หรือ 50 กว่าปีมาแล้ว ดังนั้นความ Classic ไม่ต้องพูดถึง เพราะไลน์นี้คลาสสิคของแท้เลยทีเดียว


               สำหรับรุ่นที่รีวิวนี้กล่าวถึง เป็น flanker ที่ใช้ชื่อว่า EAU SAUVAGE COLOGNE ออกวางขายในปี 2015 โดยมาในขวดแก้วทรงเดียวกับรุ่น Original หากทว่ามาในเฉดสีขาวสะอาดตา สื่อถึงความสะอาดสะอ้าน สดชื่นมากยิ่งขึ้น

               โดยส่วนตัวผมเองคิดว่า Dior ไม่มีความจำเป็นต้องออก flanker รุ่น Cologne ตามออกมาเลยนะครับ เพราะลำพัง EAU SAUVAGE ตัวปกติเองก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็น Cologne มากพออยู่แล้ว เหตุผลที่ส่งรุ่นนี้ออกมาสมทบน่าจะเป็นเรื่องของการตลาดล้วนๆ เนื่องจากรุ่นปกตินั้นถึงแม้เนื้อกลิ่นและคุณภาพของมันนั้นแทบจะไม่ต่างจาก Cologne แต่เบสของมันกลับเป็น Eau de Toilette เสียนี่ ดังนั้นเลยคิดว่าหากส่ง flanker ที่ห้อยท้ายชื่อรุ่นด้วยคำว่า Cologne โดยตรงเลยยังไงก็น่าจะขายได้

               กลิ่นเด่นๆของ EAU SAUVAGE COLOGNE ยังคงคอนเซปความเป็น Cologne ไม่ต่างจากรุ่นปกติเลยครับ คือเด่นด้วยกลิ่นโทน Aromatic – Citrus ที่เด่นด้วยกลิ่นพืชพรรณตระกูลส้ม โดยในรุ่นนี้จะโฟกัสจุดเด่นมาที่ Bergamot หรือผลมะกรูดมากขึ้น โดยใช้มะกรูดพันธุ์ Calabrian Bergamot จากอิตาลี มีโน้ตจำพวกส้มและมะนาวต่างๆรายล้อมเป็นตัวประกอบ ซึ่งก็นับเป็นอีกกลิ่นที่สดชื่นมาก สะอาดๆ และไม่มีความซับซ้อนใดๆในเนื้อกลิ่นเลย กล่าวคือแทบจะ 100% ตลอดช่วงอายุกลิ่นมีเพียงกลิ่นมะกรูดอย่างเดียวเลยครับ

               Top Notes นั้นเปิดมาแบบสดชื่นมากมายเหลือเกิน กลิ่นมะกรูดพวยพุ่งออกมาเป็นอันดับแรก มาแบบแรงชัด และเข้มนิดหน่อย ค่อนไปทางเขียวนิดๆ อารมณ์ประมาณกลิ่นบริเวณขั้วของผลมะกรูดเปลือกหนาๆเลยครับ ให้กลิ่นเขียวสดชื่นปรอดโปร่งดีจริงๆ เหมาะมากๆกับการใส่ในโอกาสสบายๆ หรือฉีดเพื่อเติมความสดชื่นระหว่างวัน

               กลิ่นในแต่ละช่วงไม่ค่อยมีความแตกต่างกันเท่าไหร่นัก กลิ่นต้นเป็นยังไง กลิ่นปลายก็เป็นแบบนั้น เพียงแค่ลด sillage ความแรงของการกระจายตัวลงเท่านั้นเอง เพราะช่วงปลายกลิ่นผมก็ยังคงได้สัมผัสถึงความสดชื่นของมะกรูดอยู่ โดยนอกจากมะกรูดแล้ว โน้ตตัวรองที่ทำหน้าที่สมทบนั้นยังประกอบไปด้วยส้ม Mandarin, ผล Grapefruit, หญ้าแฝก, Pink Pepper หรือเม็ดพริกไทยสีชมพู, และโน้ตตัวหนึ่งที่ชื่อไม่คุ้นหู คือ Hedione

               ขออนุญาตกล่าวถึงโน้ต Hedione ซักนิดนะครับ เจ้าโน้ตตัวนี้เป็นสารหอมอย่างหนึ่งที่ให้กลิ่นแนวดอกมะลิแห้งๆและกลิ่นชา มีคุณสมบัติคือเมื่อนำโน้ตตัวนี้ไปผสมกับน้ำหอมกลิ่นใดก็ตาม เจ้า Hedione จะสามารถเปลี่ยนกลิ่นจากน้ำหอมผู้หญิงให้กลายเป็นน้ำหอมผู้ชายได้ (ขอบคุณข้อมูลจากเพจของคุณเก่ง KengSoHigh ครับ)

               ห้อยท้ายชื่อด้วยคำว่า Cologne หากทว่าความเป็นจริงแล้วก้นขวดระบุว่าเป็น Eau de Toilette นะครับ ส่วนตัวพบว่ารุ่นนี้กลิ่นชัดขึ้น กลิ่นทนมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ EAU SAUVAGE รุ่นปกติ แถมยังมีความทันสมัยมากขึ้นด้วย (อันนี้ผมอาจจะคิดไปเองเนื่องจากขวดมาในโทนสีขาว ซึ่งดู modern ขึ้นกว่าตัวปกติที่ออกแนว Classic ชัดเจน) เหมาะสำหรับชายหนุ่มทุกวัยเลยครับ ใส่ได้เรื่อยๆในโอกาสลำลองสบายๆทั่วไป และยิ่งหากฉีดเติมระหว่างวันในยามอากาศร้อนยิ่งดี สามารถชุบชีวิตชีวากลับมาได้ ใส่ออกกำลังกายกลางแจ้งก็เหมาะนะครับ นับเป็นน้ำหอม safe scent สะอาดๆกลิ่นหนึ่งได้เลย

               ก่อนจบรีวิว ผมลองเปรียบเทียบความแตกต่างกันระหว่าง EAU SAUVAGE ทั้ง 3 รุ่นที่มีวางจำหน่ายอยู่ตอนนี้แบบคร่าวๆมาให้นะครับ น่าจะพอเป็นแนวทางได้สำหรับคนที่กำลังสนใจน้ำหอมไลน์นี้อยู่

  • EAU SAVAGE (รุ่นปกติ) มาในเบส Eau de Toilette เด่นที่กลิ่นเลม่อน (มะนาวเหลืองของฝรั่ง) ออกแนวมะนาวเปรี้ยวๆคมๆ ใสๆ สดชื่น สว่าง ชวนนึกถึงภาพสวนมะนาวขนาดใหญ่ยามกลางวันที่แดดเปรี้ยงๆ อากาศร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อย และมีลมร้อนๆพัดพาเอากลิ่นมะนาวทั้งสวนเข้ามาปะทะจมูก

  • EAU SAUVAGE COLOGNE ชื่อห้อยท้ายด้วยคำว่า Cologne แต่จริงๆแล้วมาในเบส Eau de Toilette เช่นเดียวกับรุ่นปกติเลยครับ รุ่นนี้กลิ่นเข้มขึ้น เด่นที่กลิ่นมะกรูดเปรี้ยวๆ เข้มนิดๆ ออกเขียวหน่อยๆ และมีความเย็นยะเยือกโปร่งจมูก ชวนนึกถึงภาพบรรยากาศสวนมะกรูดยามเช้าที่เย็นสบาย มีลมเย็นๆพัดพาเอากลิ่นมะกรูดเขียวๆโชยเข้ามาเบาๆ ส่วนตัวผมคิดว่ากลิ่นของตัวนี้ชัดมากขึ้น และออกแมนขึ้นจากรุ่นปกตินิดหน่อย

  • EAU SAUVAGE PARFUM เป็นกลิ่นที่เข้มที่สุดของไลน์ เด่นที่กลิ่นมะกรูดที่เข้มปี๋ผสมกับยางเรซิ่น ให้ความรู้สึกลึกลับ มีระดับ ชวนค้นหา ตัวนี้กลิ่นค่อนข้างฉีกแนวจาก 2 กลิ่นด้านบน โดยเหมาะสำหรับใส่ยามกลางคืนนะครับ ชื่อห้อยท้ายด้วยคำว่า Parfum แต่จริงๆเป็นเบส Eau de Parfum


***ส่วน SAUVAGE และ SAUVAGE EDP สองกลิ่นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับไลน์นี้เลยครับ เพียงแค่ใช้ชื่อคล้ายกันเพียงเท่านั้น***


__________________________________________