[::REVIEW::]
CHANEL
LES EXCLUSIFS DE CHANEL
N°22 EAU DE PARFUM
Perfumer : Jacques Polge
Launched Year : 2016
Fragrances Notes
Top Notes : Aldehyde, Neroli, Lily-of-the-Valley
Middle Notes : Jasmine, Tuberose, May Rose, Ylang-Ylang
Base Notes : Vanilla, Sandalwood
__________________________________________
ก่อนอื่นขออนุญาตบอกเล่าเรื่องราวและประวัติของ CHANEL N°22 ตาม timeline ที่ทราบซักเล็กน้อยนะครับ
อาจจะไม่ครบถ้วนหรืออาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดซะทีเดียว ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมคอมเม้นแชร์กันได้นะ
^^ (หากยาวไป ใครขี้เกียจอ่าน เลื่อนไปอ่านรีวิวได้ที่ย่อหน้าที่ 7
เลยครับ)
เดิมทีนั้น CHANEL N°22 ถือเป็นน้ำหอม Classic ยุคบุกเบิกของ
CHANEL อีกกลิ่นหนึ่ง ซึ่งออกตามหลังน้ำหอมกลิ่นแรกของแบรนด์อย่าง
CHANEL N°5 เพียง 1 ปีเท่านั้นครับ ทั้งคู่เป็นฝีมือการปรุงของคุณ Ernest Beaux สุคนธกรผู้ที่รับเกียรติและความไว้วางใจจาก
Coco Chanel ให้มารังสรรค์น้ำหอมให้หลายต่อหลายกลิ่น โดย CHANEL
N°22 เวอร์ชั่น
Original นั้นผลิตออกมาด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ EDP และ EDT
ซึ่งที่มาของเลข
22 ที่นั้นมาจากปีที่น้ำหอมกลิ่นนี้ถูกผลิตขึ้นมาเป็นครั้งแรก นั่นคือปี
ค.ศ.1922 นั่นเอง และยังเป็นน้ำหอมลำดับที่
22 ที่คุณ Ernest Beaux ปรุงไว้ให้ Coco Chanel เลือกกลิ่นอีกด้วย
แต่ข่าวร้ายก็คือ CHANEL N°22 เวอร์ชั่น Vintage ดั้งเดิมนั้นวางขายได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
เนื่องจากราวๆปี 1928 ทางแบรนด์ก็ยกเลิกการผลิตน้ำหอมกลิ่นนี้ไป ส่งผลให้น้ำหอมสูตร original นั้นกลายเป็น
rare item ที่หายากมาก จนแทบจะหายสาบสูญไปตามกาลเวลา
CHANEL N°22 ถูกนำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1989 โดยยังคงผลิตออกมาทั้งรูปแบบ
EDP
และ EDT เช่นเดิม หากทว่าคราวนี้คุณ Jacques Polge
ได้รับหน้าที่เป็นสุคนธกรผู้ปรับสูตรและปรุงแต่งกลิ่นใหม่ให้แก่น้ำหอมหมายเลข 22
และในปี
ค.ศ.1998 น้ำหอมเวอร์ชั่นนี้ก็ถูกยกเลิกการผลิตไปอีกรอบหนึ่ง และถูกแทนที่ด้วยอีกเวอร์ชั่นที่ถูกปรับสูตรใหม่ในเวลาเดียวกัน
ปี 2007 ทางแบรนด์ได้ริเริ่มสร้างกลุ่มน้ำหอมไลน์ Niche
ประจำแบรนด์ขึ้นมาเพื่อยกระดับไลน์น้ำหอมให้มีความหรูหราและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับบนมากยิ่งขึ้น
ภายใต้ชื่อไลน์ว่า “LES EXCLUSIFS
DE CHANEL” ซึ่ง CHANEL N°22 ก็เป็นหนึ่งในน้ำหอม Vintage หลายๆกลิ่นที่ถูกนำมาปรับปรุงสูตรโดยคุณ
Jacques Polge ท่านเดิม และถูกจับยัดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไลน์ Niche สุดแพงนี้ไปในที่สุด
โดยมาในรูปแบบความเข้มข้นของหัวน้ำหอมระดับ Eau de Toilette
และอัพเดตล่าสุด เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ได้ทำการปรับสูตรน้ำหอมไลน์ Exclusifs ใหม่ทั้งหมด
โดยทุกกลิ่นนั้นถูกปรับปริมาณความเข้มข้นของหัวน้ำหอมขึ้นมาเป็นระดับ Eau
de Parfum (และแน่นอนว่ารุ่น EDT ก็ถูกยกเลิกการผลิตไป กำลังจะกลายเป็น rare
item
ไปในไม่ช้า) ซึ่งรีวิวนี้ก็จะขอพูดถึง CHANEL N°22 รุ่น
EAU DE PARFUM ตัวใหม่นี้ล่ะครับ โดยต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวผมเองยังไม่เคยลองรุ่นไหนๆของตระกูลเลข
22 มาก่อนเลย ไม่ว่าจะจะเป็น ทั้ง EDP และ EDT
ของเวอร์ชั่น
Vintage หรือ Parfum และ EDT เวอร์ชั่นก่อนหน้าของไลน์ Exclusifs ดังนั้นรีวิวนี้จึงไม่ใช่รีวิวเชิงเปรียบเทียบ
เพราะไม่สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้
จะอ้างอิงเฉพาะความรู้สึกที่ได้สัมผัสในเวอร์ชั่นใหม่นี้เท่านั้นครับ (แต่อาจจะมีพูดถึง
N°5 บ้างเนื่องจากส่วนตัวเห็นว่าเป็นน้ำหอมที่มีความสัมพันธ์กันในหลายๆด้าน
เช่นโทนกลิ่นและโครงสร้างของโน้ตต่างๆที่มาในลักษณะเดียวกัน
แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว)
ทางเว็บไซต์ทางการของแบรนด์ระบุข้อมูลของ CHANEL N°22 ไว้ว่า เป็น Light
Variation ของ CHANEL N°5 ที่มาในเวอร์ชั่นโปร่งเบา อ่อนโยน เปรียบได้กับเลเยอร์บางๆของผ้าแพรที่ใช้สำหรับคลุมหน้าสตรี
และผิวพรรณอันแสนอ่อนโยนของหญิงสาวที่ถูกอาบชะโลมไปด้วยกลีบดอกไม้นานาพันธุ์ โน้ตหลักที่ถือเป็น
main accord ของ N°22 นั้นจะมีโครงสร้างคล้ายๆกับ N°5 ครับ
นั่นคือเด่นด้วยโน้ตสังเคราะห์ที่มีชื่อเรียกว่า Aldehyde เป็นหลัก (Aldehyde หรือ อัลดีไฮด์ เป็นสารเคมีที่ให้กลิ่นอาย Classic โบร่ำโบราณ ถือเป็นโน้ต signature ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ CHANEL ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจาก CHANEL นั้นเป็นแบรนด์แรกของโลกที่นำสารเคมีชนิดนี้มาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำน้ำหอม ซึ่งกลิ่นดังกล่าวก็คือ CHANEL N°5 เวอร์ชั่น vintage ที่ออกปี ค.ศ.1921 นั่นเอง) สาร Aldehyde นั้นมาคู่กับ Tuberose หรือดอกซ่อนกลิ่นที่ให้กลิ่นอายโทน White
Floral แบบเฟมินีน
Aldehyde (สารอัลดีไฮด์) และ Tuberose (ดอกซ่อนกลิ่น) โน้ตหลักของ CHANEL N°22
Aldehyde (สารอัลดีไฮด์), กุหลาบ May Rose, ดอกมะลิ และกระดังงาTuberose โน้ตหลักของ CHANEL N°5
นอกจากนั้นแล้ว N°22 ยังคงประกอบไปด้วยดอกไม้นานาชนิดที่เข้ามาสมทบ
ทำหน้าที่เป็นโน้ตรองประกอบไปกับ main accord อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็น ดอกส้ม, Lily-of-the-Valley, มะลิ, ดอกกุหลาบ และกระดังงา จะเห็นว่าโน้ตหลายๆอย่างแอบมีความใกล้เคียงกับ
N°5 แต่ลดบทบาทลงมาเป็นโน้ตรองที่ทำหน้าที่เป็นส่วนผสมรอง (เชื่อว่าอ่านมาถึงตรงนี้น่าจะมีหลายคนที่งงหรือสับสนกับโน้ตของทั้งสองรุ่น ลองดูภาพด้านบนจะเข้าใจง่ายขึ้นครับ) โดยโน้ตทุกอย่างรวมกันออกมาแล้วให้กลิ่นอายสไตล์น้ำหอมโบราณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังของความ
Classic ซึ่งแม้ว่าเจ้า N°22
เวอร์ชั่นที่หยิบมารีวิวนี้จะเป็นรุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับสูตรมาหมาดๆแล้วก็ตาม
แต่กลิ่นอายความ Classic ของมันนั้นยังคงเต็มเปี่ยม เพราะเป็นหนึ่งในกลุ่มน้ำหอมตัว
Classic ซึ่งน้ำหอมลักษณะนี้จะเป็นน้ำหอมผู้ใหญ่
ในความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะต้องวัยคุณแม่ คุณย่า คุณยาย ซักอายุ 50
ปีเป็นอย่างน้อยจึงจะใส่ออกมาแล้วเข้ากับวัยและบุคลิก
เนื่องจากกลิ่นนั้นค่อนข้างจะมีความเป็นทางการสูงทีเดียว และยังมีความน่าเกรงขาม
น่าเคารพนับถืออยู่อีกด้วย
แต่ถ้าหากลองจินตนาการถึงมุมมองของชายที่อยู่ในวัยเดียวกัน ผู้หญิงที่ใส่ N°22
คงเป็นหญิงที่สวย สง่างาม และมีเสน่ห์ไม่ใช่น้อย ในสายตาของเขา
ในช่วงแรกที่กลิ่นเปิดตัวนั้น ผมสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอาย Old
Fashion ได้แบบเต็มๆ เพราะสไตล์กลิ่นที่ยังคงยึดถือความโบร่ำโบราณสไตล์
Vintage นั้นยังมีให้ได้สัมผัสอย่างเต็มเปี่ยม 100%
แม้จะเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกปรับสูตรมาแล้วก็ตาม เป็นกลิ่นที่ถ้าหากคุณแม่ คุณย่า
คุณยายได้ลองดมซักครั้งหนึ่งอาจจะตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกเลยก็เป็นไปได้ (และในทางกลับกัน
สำหรับหนุ่มๆสาวๆวัยเรียน วัยทำงาน อาจจะเบือนหน้าหนีได้ง่ายๆเพราะกลิ่นค่อนข้างมีอายุ)
อาจจะต้องเรียกว่าเป็นน้ำหอมสำหรับผู้ใหญ่ที่สวยหรู และสง่างามซะมากกว่า
กลิ่นเปิดนำด้วยกลิ่นโทน Floral และ Aldehyde
ที่พวยพุ่งออกมาปะทะจมูกอย่างแรงด้วยส่วนผสมของดอกไม้สีขาวนานาชนิด นำโดย Tuberose หรือดอกซ่อนกลิ่นที่ทำหน้าที่เป็นนางเอกของ CHANEL N°22 เคียงคู่ไปกับกลิ่นโทน
Aldehyde ที่ชวนให้ผมนึกถึง CHANEL N°5 ขึ้นมาอย่างจังๆ หากแต่เป็นเวอร์ชั่นที่ออกโทน
Floral ด้วยดอกไม้สีขาวมากกว่า ซึ่งส่วนตัวแอบนึกถึงน้ำหอมกลิ่น Calèche
จากบ้าน
HERMÈS ขึ้นมาอีกด้วย
ช่วงกลางยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความ Classic แบบไม่ลดละ กลิ่นโทน Floral เริ่มฉายแววงดงามมากขึ้นเมื่อดอกไม้นานาชนิดปรากฏตัวขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นดอกส้ม, Lily-of-the-Valley, มะลิ, ดอกกุหลาบ และกระดังงา จนเข้าสู่ช่วง Base
Notes ที่ถาโถมเข้ามาด้วยโทนกลิ่น Woody และ Powdery
ที่หวานทุ้ม นุ่มนวล และละมุนละไม ด้วยกลิ่นของหญ้าแฝกกับวานิลลาที่เป็นตัวปิดฉากอย่างสง่างาม
กลิ่นอาย Aldehyde ที่ดูโบร่ำโบราณและสูงอายุสไตล์น้ำหอม Vintage ที่มีในตอนต้นนั้นได้ลดทอนบทบาทลงค่อนข้างมาก
จนแทบจะเรียกได้ว่าหายไปเกือบ 100% เลยครับ เหลือเพียงแต่ความอ่อนหวาน อ่อนโยน
และเซ็กซี่อ่อนๆกระจายออกมาจากผิว
สารภาพตามตรงว่าตัวผมเองไม่ค่อยโอเคกับกลิ่นเปิดตัวในช่วงแรกๆเท่าไหร่นักเพราะคิดว่ากลิ่น
Floral และ Aldehyde นั้นแรงไปนิด
แต่ดันมาตกหลุมรักเอาช่วงท้ายเพราะทำออกมาได้ดีมาก
โดยเฉพาะกลิ่นหวานรัญจวญอ่อนๆของวานิลลานั้นแอบเชื่อมโยงให้ผมนึกถึง CHANEL
N°5 EAU
PREMIÈRE ซึ่งเป็น flanker รุ่นที่ผมชอบมากที่สุดในไลน์ N°5 ได้อีกด้วย
N°22 ตัวที่หยิบมาพูดถึงในรีวิวนี้คือเบส
EAU DE PARFUM นะครับ เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ทางแบรนด์ปรับระดับความเข้มข้นของหัวน้ำหอมไลน์
LES EXCLUSIFS DE CHANEL นั้นถูกปรับระดับหัวน้ำหอมขึ้นมาเป็น EDP
หมดแล้วทุกกลิ่น ด้านความติดทนและการกระจายตัวนั้นทำได้ดีมาก
ติดทนได้ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น
โดยช่วงเย็นนั้นจะเหลือเพียงกลิ่นวานิลลาที่กระจายโทนกลิ่น Woody ออกมาจากผิวจางๆเป็นออร่ารอบตัว
ซึ่งการกระจายกลิ่นก็ค่อนข้างดีมาก โดยเฉพาะในช่วงต้นหลังจากสเปรย์ออกมา
ส่วนช่วงปลายคือดีงามสุดๆครับ
สำหรับเมืองไทยแล้ว น้ำหอมหมายเลข 22 เวอร์ชั่น Eau
de Parfum นี้อาจจะหาโอกาสใช้งานยากซักนิด จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ในช่วงฤดูหนาว
ยามอากาศเย็น หรือยามค่ำคืน เนื่องจากกลิ่นค่อนข้างจะแรง เต็มแน่น ทำให้มีความอึดอัดจมูกอยู่บ้างพอสมควร
แนะนำสำหรับผู้หญิงที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
จริงๆกลิ่นของช่วงต้นจนถึงกลางนั้นอยากจะแนะนำให้คนอายุ 50+
แต่พอมาเจอช่วงเบส ผมว่าอายุราวๆ 30 ปีก็ใช้ได้แล้วครับ อาจจะต้องแล้วแต่คน
แล้วแต่บุคลิก ใส่ออกงานหรูหรา ทำงานทางการ โอกาสพบปะทางธุรกิจ เหมาะมาก
__________________________________________