วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[::REVIEW::] LALIQUE – LALIQUE de LALIQUE


[::REVIEW::]
LALIQUE – LALIQUE de LALIQUE
Perfumer : Sophia Grojsman
Launched Year : 1992


Fragrance Notes
Top Notes : Bulgarian Rose, Aegean Wallflower, Iris, Jasmine
Heart Notes : Pear, Blackberry, Black Currant Leaf
Base Notes : Bourbon Vanilla, Mysore Sandalwood, White Musk

____________________________________________


               LALIQUE de LALIQUE (หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันคือ LALIQUE POUR FEMME) เป็นน้ำหอมกลิ่นแรกของแบรนด์ที่มีประวัติและชื่อเสียงโด่งดังมาจากการผลิตเครื่องแก้วชั้นสูงมาเกือบ 130 ปี โดย René Jules Lalique เป็นผู้บุกเบิก ซึ่งในระยะ 20 กว่าปีให้หลังมานี้ ทางแบรนด์ก็เริ่มผันตัวมาทำน้ำหอมขายกับเขาด้วย โดยในช่วงยุคแรกนั้น LALIQUE de LALIQUE ผลิตออกมาวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 2 รูปแบบ คือ Eau de Parfum และ Eau de Toilette ซึ่งในทุกวันนี้ ทั้งคู่ก็ยังคงผลิตขายอยู่อย่างต่อเนื่อง หากทว่ามันถูกปรับสูตรใหม่ให้ทันสมัยขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป สูตรที่รีวิวนี้กล่าวถึงคือ EDP สูตรใหม่ ซึ่งเป็นสูตรเดียวกับที่กำลังวางขายอยู่ ณ ปัจจุบันครับ

               ด้วยความที่ LALIQUE เป็นแบรนด์ผลิตเครื่องแก้วชั้นสูงระดับแนวหน้าของโลกและมีชื่อเสียงโด่งดังมาอย่างช้านาน แน่นอนว่ารูปลักษณ์ packaging ของน้ำหอมรุ่นเรือธงย่อมไม่ธรรมดาครับ เพราะเขาได้ถ่ายทอด signature ความเป็น LALIQUE ลงไปอย่างเต็มที่ ออกแบบขวดได้คลาสสิค สวยงาม ประณีต และหรูหรามาก โดยเป็นผลงานการออกแบบของ Marie-Claude Lalique (หลานสาวของ René Jules Lalique) ที่ดีไซน์ขวดได้สมกับเป็นแบรนด์เครื่องแก้วระดับโลกจริงๆ มีใบ Honeysuckle (ใบของต้นสายน้ำผึ้ง) รายล้อมอยู่ทั้งรอบตัวขวดและบนฝา ล่าสุดในปี 2012 ที่ผ่านมานี้ ทางแบรนด์ได้ส่ง flanker รุ่นพิเศษออกมาเพื่อเฉลิมฉลองกับน้ำหอมกลิ่นนี้ที่มีอายุครบ 20 ปีอีกด้วย นั่นคือรุ่น Extrait de Parfum หรือหัวน้ำหอมชนิดเข้มข้นสูงที่ยังคงใช้รูปทรงขวดแบบเดิม มาในขวดหัวแต้ม ขนาด 40 และ 600 ml (ผลิตเพียง 350 และ 50 ขวด ตามลำดับ)

               มาเข้ารีวิวส่วนของกลิ่นกันบ้างดีกว่า ต้องบอกเลยว่าแม้ EDP รุ่นปัจจุบันนี้จะถูก reform สูตรไปแล้วก็ตาม แต่ความคลาสสิคสไตล์วินเทจนั้นมีให้สัมผัสได้ชัดเจนมากครับ ด้วยโทนกลิ่นที่มาแบบผสมผสานกันอย่างลงตัวพอดิบพอดีระหว่างโทน Floral, Fruity, Oriental และ Powdery เนื้อกลิ่นจึงค่อนข้างจะแน่นในระดับหนึ่งตามสไตล์ของน้ำหอม Classic คล้ายๆกับว่าเป็นน้ำหอม Floral – Fruity จากยุค 90s ตอนต้นที่ถูกผลิตมาเพื่อผู้ใหญ่วัยกลางคน ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามันให้อารมณ์ทำนองเดียวกับ VERSACE Red Jean ที่มาแบบ Floral – Fruity แน่นๆแป้งๆและมีความคลาสสิคเหมือนกันครับ แต่ถึงยังไง LALIQUE นั้นก็มีดีที่ความหรูหรามีระดับ ที่นำหน้า Red Jean ไปไกลโข

               LALIQUE de LALIQUE นั้นเด่นด้วยส่วนผสมของโน้ตหลายๆอย่างรวมกัน ไม่ว่าจะเป็น ผล Blackberry, ใบ Blackcurrant, ลูกแพร์, ดอกกุหลาบ, มะลิ, ไอริส, ไม้จันทน์หอม และวานิลลา จะเห็นว่าเฉพาะโน้ตหลักๆก็มีมากมายหลายอย่างแล้วครับ ยังไม่รวมโน้ตรองต่างๆที่เป็นตัวประกอบอีก ดังนั้นกลิ่นจึงมีความซับซ้อนสูงมากทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นกลิ่นที่มีชั้นเชิงในตัวและมีระดับดีจริงๆ โดยสุคนธกรผู้อยู่เบื้องหลังคือ Sophia Grojsman ผู้ที่มีผลงานชิ้นโบว์แดงเด่นๆหลายตัวด้วยกัน และเกือบจะทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นน้ำหอมคลาสสิคที่ให้กลิ่นอัดแน่นไปด้วยโทนแป้งสไตล์ powdery ไม่ว่าจะเป็น BVLGARI pour Femme, LANCÔME – Trésor, YSL PARIS และ Elizabeth Arden – True Love เป็นต้น

               สำหรับกลิ่นเปิดตัวในช่วง Top Notes นั้น เด่นด้วยโทน Fruity ครับ หากแต่มันไม่ได้สดใสเหมือนน้ำหอมกลิ่นผลไม้ที่พบได้มากตามตลาดสมัยนี้เพราะ LALIQUE de LALIQUE นั้นออกมากว่า 20 ปีแล้ว กลิ่นผลไม้นั้นจึงมาแบบ Oriental แน่นๆฉ่ำๆ ปนกับกลิ่นโทนแป้งละมุนละไม ซึ่งเป็นผลพวงมาจากดอก Iris ที่ผสานตัวเข้ากับผล Blackberry และลูกแพร์ ให้ความรู้สึกหรูหรามีระดับ เซ็กซี่ และคลาสสิคเป็นอย่างมาก ชวนนึกถึงกุลสตรีชั้นสูงในคฤหาสน์ อารมณ์แบบคุณหญิงคุณนายที่ยังสาวอยู่ ยังไม่ถึงขั้นตีกระบังผมใส่ชุดผ้าไหมอะไรขนาดนั้น อายุก็น่าจะราวๆ 35 ปีล่ะมั้ง บุคลิกเรียบร้อย สวยสง่า และมีเสน่ห์ที่น่าเข้าใกล้

               ส่วนตัวชอบกลิ่นของช่วงกลางมากที่สุดครับ เพราะหลังจากที่พ้นช่วงต้นไปได้ราวๆ 10- 15 นาที จะเริ่มสัมผัสโทน Floral แซมขึ้นมาสมทบได้ ที่จับกลิ่นได้น่าจะเป็นดอกมะลิ ที่เข้ามาเติมเต็มความ feminine สไตล์ผู้ดีแก่ดอกไอริส ซึ่งในขณะเดียวกัน ทั้งคู่ก็ยังมีกลิ่น Blackberry ผสมโรงอยู่ด้วย ดังนั้น โทน fruity ก็ยังคงอยู่เช่นกัน

               ช่วงปลายกลิ่นเด่นด้วยโทนแป้ง Powdery ละมุนละไมติดผิว แกมความหวานด้วยวานิลลาจางๆ และ Sandalwood อีกนิดหน่อย ความทนไม่ต้องห่วง ทนมากอยู่แล้วเพราะเป็นน้ำหอมกลิ่น Oriental และมีความคลาสสิคสไตล์วินเทจแฝงอยู่ชัดแม้จะถูกปรับสูตรใหม่แล้วก็ตาม จากที่ลองมากับตัว พบว่าอยู่ได้นานถึง 10 ชั่วโมง พร้อมกับการกระจายตัวที่ได้กลิ่นชัดในระยะรอบตัว อาจจะไม่ได้ฟุ้งเฟ้อแผ่กระจายไปเป็นเมตร แต่ถ้าขยับเข้ามาใกล้ๆยังไงก็ต้องได้กลิ่นชัดอย่างแน่นอน

               เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ครับ ประมาณวัยทำงาน ซัก 35 ขึ้นไปกำลังดี เพราะ LALIQUE รุ่นนี้ถูกผลิตออกมาเจาะตลาดผู้ใหญ่เป็นหลักอยู่แล้ว เหมาะกับการใส่ทำงาน ออกงาน หรือวันที่ต้องการลุคสวยแพงก็ใช้ได้เช่นกัน ไม่เหมาะกับใส่เล่นชิวๆในวันหยุดนะครับ เพราะกลิ่นค่อนข้างแน่นและดูดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ ดังนั้นจะให้ดีควรใส่ในวันที่แต่งตัวดีซักนิดหน่อย กลิ่นกับการแต่งการจะได้ไปในทางเดียวกัน ส่วนตัวแล้วไม่เคยลองเวอร์ชั่น EDT ของ LALIQUE กลิ่นนี้ แต่ตามความเข้าใจ คิดว่าตัว EDT น่าจะใช้ง่ายขึ้นนะ โดยเฉพาะอากาศร้อน อาจจะไม่อึดอัดจมูกเท่ากับรุ่น EDP ที่เหมาะกับอากาศเย็นๆแบบฤดูหนาวมากกว่า

____________________________________________