วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[::REVIEW::] CHANEL – ALLURE HOMME


[::REVIEW::]
CHANEL – ALLURE HOMME
Perfumer : Jacques Polge
Launched Year : 1999


 Fragrance Notes
Top Notes : Bergamot, Ginger, Lavender, Mandarin, Peach, Lemon
Middle Notes : Aniseed, Freesia, Gardenia, Jasmine, Patchouli, Pepper, Rose, Rosewood, Vetiver, Cedar
Base Notes : Amber, Benzoin, Oakmoss, Coconut, Leather, Musk, Sandalwood, Tonka bean, Vanilla

____________________________________________


               ALLURE HOMME ถือกำเนิดขึ้นในปี 1999 หลังจากที่ CHANEL ได้ส่ง ALLURE ของผู้หญิงออกวางขายได้เพียง 3 ปีเท่านั้น ซึ่งพอ ALLURE HOMME รุ่นนี้ถูกปล่อยออกมาก็ดูเหมือนว่าน้ำหอมฝ่ายชายจะรุ่งและไปได้สวยกว่าฝ่ายหญิงอีกนะครับ สังเกตได้จากจำนวน flanker รุ่นต่างๆที่แตกออกมา ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะถูกพูดถึงค่อนข้างบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ALLURE HOMME SPORT ที่นับว่าเป็นตัวฮิตและโด่งดังที่สุดของไลน์ ซึ่ง ณ เวลานี้ต้องยอมจริงๆเพราะมันดันฮิตรุ่นต้นแบบอย่าง ALLURE HOMME กลิ่นนี้เสียอีก

               สำหรับ perfumer ที่รับหน้าที่ปรุงกลิ่น ALLURE HOMME ตัวนี้ก็ยังคงเป็นสุคนธกรประจำค่าย CHANEL ท่านเดิมครับ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกันกับที่ปรุง ALLURE ของผู้หญิงด้วยเช่นกัน นั่นคือคุณลุง Jacques Polge ผู้ที่เรียกได้ว่าแทบจะกุมบังเหียนน้ำหอมค่าย CHANEL ไว้เกือบทั้งหมด เพราะเริ่มปรุงน้ำหอมให้แก่ CHANEL ตั้งแต่ปี 1978 ไล่ยาวมาจนถึงปี 2015 กันเลยทีเดียว เว้นแต่ช่วง 1-2 ปีให้หลังมานี้ที่เริ่มให้คุณ Olivier Polge (ลูกชายของคุณลุง)เข้ามารับหน้าที่สานต่อแทนบ้างแล้ว ซึ่งผลงานที่มีให้เห็นกัน ณ ตอนนี้ก็มีแค่ CHANCE EAU VIVE, N°5 L’EAU, MISIA และ BOY จากไลน์ Les Exclusifs de CHANEL เท่านั้น

               ALLURE HOMME เป็นน้ำหอมแนว Oriental – Woody ที่ประกอบด้วยส่วนผสมกว่า 25 ชนิดเลยทีเดียวครับ โดยโน้ตตัวหลักๆที่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนนั้นประกอบด้วยกลิ่นของมะกรูด มะนาวเหลือง (Lemon) และผลส้ม Mandarin ที่มอบกลิ่นโทน Citrus สดชื่น, เครื่องเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ขิง พริกไทย โป๊ยกั๊ก กลิ่นเบสที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของวานิลลา เหล่าแมกไม้ต่างๆ และถั่ว Tonka Bean ฯลฯ จะเห็นได้ว่าเฉพาะส่วนผสมหลักก็มีเยอะพอสมควรแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กลิ่นของ ALLURE HOMME มีความซับซ้อนในตัวเองสูง มอบอารมณ์และความรู้สึกที่หลากหลายแก่ผู้สวมใส่ ซึ่งมีทั้งความสดชื่นแบบมีระดับ แต่ในขณะเดียวกันกลิ่นมันก็มีอัดแน่นไปด้วยความหรูหราและเซ็กซี่รัญจวนแบบแมนๆ บางแง่บางมุมก็มีภูมิฐานสูง เป็นทางการ เหมาะสำหรับใส่ในโอกาสงานสำคัญ เช่น พบปะทางธุรกิจที่ต้องการความน่าเชื่อถือ เป็นต้น

               กลิ่นเปิดตัวในช่วง Top Notes นั้นจะนำเด่นมาด้วยโทนสดชื่นเข้มๆแมนๆออกมาก่อนครับ ซึ่งเป็นกลิ่นของมะกรูด มะนาวเหลือง (lemon) และส้ม Mandarin ที่ผสมผสานรวมตัวกันออกมาให้กลิ่นโทน Citrus หากแต่มันไม่ได้มีความแหลมคม บาดจมูกเหมือนอย่างน้ำหอม Citrus จ๋าบางกลิ่นที่ให้กลิ่นมะนาวสดชื่นใสแจ๋วจนเหมาะสำหรับใส่พักตากอากาศยามฤดูร้อน เช่นพวก Cristalle Eau Verte หรือ Dior - Eau Savage เนื่องจากมันถูกคุมโทนอยู่ภายใต้ความทุ้มหนักแน่นจากกลิ่นลาเวนเดอร์และเหล่ามวลเครื่องเทศต่างๆอย่างเช่น ขิงกับพริกไทย ที่โดดออกมาให้สัมผัสได้ตั้งแต่ตอนต้น

               แต่กลิ่นช่วง Top Notes ก็อยู่ได้ไม่นานครับ ไม่เกิน 2 นาที กลิ่นโทน Spicy ติดหวานอบอุ่นจะแซมขึ้นมา ในขณะที่โน้ตกลุ่ม Citrus ต่างๆพากัน fade ตัวลง กลิ่นขิงกลับเริ่มปรากฏตัวเฉิดฉายมากขึ้น พร้อมด้วยเหล่ามวลเครื่องเทศนานาชนิดที่หล่อหลอมรวมกันออกมาเป็นหนึ่งเดียว โดยจะสลับกันโชยกลิ่นออกมาระหว่างโทน Spicy หวานๆกับโทน Citrus แมนๆเข้มๆ คหสต. ในช่วงท้ายๆของตอนกลาง ได้กลิ่นโทน soapy หน่อยๆด้วยครับ คล้ายน้ำหอมกลิ่นสบู่บางกลิ่นโชยสวนมาบางๆ คู่กับความหวานเข้มๆ และดาร์คนิดๆ ซึ่งก็เซ็กซี่ในแบบผู้ใหญ่ดีล่ะ

               ตามข้อมูลระบุโน้ตของดอกไม้นานาชนิดอยู่ในช่วงกลางด้วยนะครับ มีทั้ง Freesia, Gardenia, มะลิ, กุหลาบ และกระดังงา แต่สารภาพตามตรงว่าจับกลิ่นดอกไม้อะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว คาดว่า perfumer อาจจะใส่มาในปริมาณที่น้อยมากๆ เพราะแม้ในช่วงนี้จะระบุโน้ตในกลุ่ม Floral อยู่หลายตัวด้วยกัน แต่กลิ่นก้ยังคงแมน เข้ม และส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าโทน Floral ที่ใส่มาใน Pyramid Notes จะเบนเข็มเข้าทาง unisex เลยซักนิด

               ปลายกลิ่นออกทางหวานเย้ายวนใจและยังคงหรูหราเช่นดังเดิม เด่นด้วยโน้ตในกลุ่ม Oriental ต่างๆ ซึ่งเด่นสุดก็เห็นทีจะเป็น Vanilla ที่มาพร้อมกับถั่ว Tonka Bean ออกทางหวาน Creamy นุ่มๆ ผสมผสานกับโทน Woody ของเหล่าแมกไม้ต่างๆ ส่วนตัวได้กลิ่นช่วงท้ายๆแล้วมักจะจินตนาการถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าๆ สีน้ำตาลเข้มหรูหรา เช่นโต๊ะ เก้าอี้ ประตูไม้ หรือชั้นวางหนังสือโบราณที่ทำจากไม้มะฮอกกานี ตั้งอยู่ในบ้านหรูจากยุคอดีต อะไรทำนองนั้น

               ALLURE HOMME มาในเบส Eau de Toilette แต่เนื่องด้วยความที่มันที่ให้กลิ่นค่อนข้างหนักแน่น จึงส่งผลให้ค่าความติดทนของมันอยู่ได้นับ 10 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว มาพร้อมกับ sillage ที่กระจายตัวได้ดีปานกลาง แต่ถ้าใส่เยอะกลิ่นก็ยิ่งชัดตามไปด้วยเช่นกัน

               เหมาะสำหรับชายวัยผู้ใหญ่นะครับ ควรใส่ในยามเย็น ห้องแอร์ หรือฤดูหนาว (แต่ถ้าสเปรย์เบามือ จะใช้ยามอากาศร้อนก็ได้อยู่) อันที่จริง ALLURE HOMME มันเป็นน้ำหอมที่ใช้ได้หลากหลายสถานการณ์มากๆนะ ใส่ได้ทั่วๆไปตั้งแต่วันธรรมดาๆ วันทำงาน หรือต้องการลุคแบบเซ็กซี่หน่อย ออกงานสังคมพบปะธุรกิจ งานทางการ ฯลฯ ใช้ได้หมดจริงๆครับ ครอบคลุมแทบจะทุกโอกาส (เว้นแต่ออกกำลังกายหรือเที่ยวพักผ่อนแบบใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ) แต่กลิ่นนี้อาจจะไม่เหมาะนักสำหรับหนุ่มๆวัยรุ่น เนื่องจากกลิ่นค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ไปหน่อย หากชอบไลน์นี้จริงๆ คิดว่าหันไปเล่นรุ่น ALLURE HOMME SPORT และ ALLURE HOMME ÉDITION BLANCHE น่าจะตอบโจทย์ได้เข้ากับวัยมากกว่าครับ

____________________________________________