[::REVIEW::]
Juliette Has a Gun – Citizen Queen
Perfumer : Romano Ricci
Launched Year : 2008
Fragrance Notes
Top Notes : Bergamot, Leather Accord, Aldehydes
Heart Notes : Iris Concrete, Orris Absolute, Tuberose, Orange Blossom
Base Notes : Ambroxan, Vanilla, Tonka bean, Labdanum, Benzoin, Civet, Muscenone
_____________________________________________
Romano Ricci (หลานชายของ Nina Ricci) ได้หยิบเอาตัวละครสุดคลาสสิคจากละครโศกนาฏกรรมอันเป็นอมตะอย่าง “จูเลียต” มาพลิกตำนานดราม่าสู่ภาพลักษณ์ใหม่ที่โมเดิร์นขึ้นในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน ด้วยคอนเซปที่ผสมผสานระหว่างความโรแมนติกของบทละครดั้งเดิมและความเป็น Rock ‘n’ Roll เข้าด้วยกัน น้ำหอมแต่ละกลิ่นของแบรนด์นี้จึงสื่อให้เห็นถึงภาพที่แตกต่างออกไปของจูเลียต โดยเปลี่ยนจากสาวดราม่ายุค Baroque มาเป็นสาวมั่นสมัยใหม่ที่มีบุคลิกเท่ๆ สไตล์ Gothic Rock ราวกับว่าเธอจะลุกขึ้นสู้ด้วยปืนในมือของเธอเอง โดยที่ไม่ต้องนั่งร้องไห้เสียน้ำตาอีกต่อไป
โน้ต Signature ของแบรนด์เห็นทีจะเป็นดอกกุหลาบที่เป็นตัวแทนของความโรแมนติก โดยที่เราจะสัมผัสกับมันได้ในน้ำหอมแทบจะทุกกลิ่นของแบรนด์นี้ ซึ่ง Citizen Queen ที่ถูกส่งออกมาเป็นรุ่นที่ 3 ดูท่าจะเป็นรุ่นที่ถูกยกระดับความหรูหราและความอลังการขึ้นมาหน่อย เนื่องจากมาในคอนเซปสไตล์ราชินีผู้สูงส่งแห่งมวลหมู่ประชากรทั่วราชอาณาจักร เป็นราชินียุคใหม่ที่มีพลังอำนาจคือความสวยสยบ และเซ็กซี่บาดใจ ในมือของเธอถือปืน ที่พร้อมจะสังหารไปพร้อมกับความสวยดุปนเซ็กซี่ร้ายๆได้ทุกเมื่อ
Citizen Queen ดำเนินความหอมด้วยกลิ่นโทน Oriental – Floral ที่เข้าถึงได้ยากในระดับหนึ่่งเลยครับ เนื่องจากเบสความเข้มข้นของหัวน้ำหอมที่หนักหน่วงเอาเรื่อง แถมเนื้อกลิ่นเองก็ซับซ้อนใช่เล่น จัดเป็นกลิ่นประเภท Love it or Hate it ที่น่าท้าทายให้ลองมาก เพราะถ้าคุณได้ลองแล้วเกิดไม่ชอบขึ้นมา ก็คงจะเกลียดไปเลยยาวๆ โน้ตตัวสำคัญๆก็ได้แก่ดอกกุหลาบอันเป็น Signature ของแบรนด์ แอมเบอร์ ไอริส กลิ่นหนัง และ Aldehyde ซึ่งเมื่อผสมโน้ตทุกอย่างรวมกันแล้ว จะให้กลิ่นที่มีออร่าความเย้ายวนสูงมาก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลิ่นที่เย้ายวนและเป็นเอกลักษณ์ที่สุดกลิ่นหนึ่งเลยล่ะ
ช่วง Top Notes เปิดตัวด้วยกลิ่นที่เข้มข้นและหนักแน่นแบบสุดขีด โดยเป็นกลิ่นเชิง Powdery ฟุ้งๆที่ได้จากไอริส ผสมผสานกับกลิ่นเท่ๆของหนัง และดอกกุหลาบที่ถูกปกคลุมด้วยโทน Aldehyde กลิ่นโดยรวมก็ดูทันสมัยดีนะ ได้กลิ่นกุหลาบชัด ควบคู่ไปกับโน้ตอื่นๆที่ถูกปรุงมาในปริมาณที่พอเหมาะ แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง โทน Aldehyde นั้นก็ฉายแววคลาสสิคอยู่พอให้สัมผัสได้ประมาณหนึ่ง เป็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยที่ทำได้ลงตัวดี คือจริงๆเราเองก็ค่อนข้างจะงงๆกับการอธิบายออกมาให้เห็นภาพเหมือนกันนะ เพราะมันซับซ้อนเหลือเกิน แต่เคยฉีดไปเรียนสมัยยังอยู่ ม.6 เพื่อนหลายๆคนคอมเม้นต์กันว่ากลิ่นเหมือนไบก้อน ก็...ไม่รู้สิ 55555
ช่วงกลางปรากฏโน้ต Tuberose absolute และ Orange Blossom absolute แต่โดยส่วนตัวจับกลิ่นไม่ได้ทั้งซ่อนกลิ่นและดอกส้ม จึงขอไม่พูดถึง เพราะโดยความรู้สึกส่วนตัวมันไม่ต่างจากช่วงแรกมากเท่าไหร่ ข้ามมากันที่ช่วงท้าย สำหรับ Base Notes กลิ่นเด่นๆจะยังคงเป็นกลิ่นแป้งโบราณจากตอนต้นที่ผสมผสานกันทั้งไอริส กุหลาบ หนัง และโทน Aldehyde เหมือนเดิม แต่จะเพิ่มเข้ามาด้วยอำพันที่ให้กลิ่นสไตล์ Ambery ผสานกับ Labdanum และ Benzoin ที่ให้กลิ่นเชิง Balsamic ลึกลับ ชวนค้นหา เพิ่มความทนทานด้วย Civet อันเป็นโน้ตได้ที่สกัดจากตัวชะมด สุคนธกรใส่มาในปริมาณเพียง 5 drops แต่กลิ่นแรงและติดทนแบบสุดขีดมาก โดยยังคงได้กลิ่นของน้ำหอมที่กระจายออกมาอย่างชัดเจนแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 12 ชั่วโมงแล้วก็ตาม
เป็นน้ำหอมที่คุณภาพดีใช้ได้ ดีทั้งด้านเนื้อกลิ่นที่เบลนด์ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนชวนงง 555 ดีทางด้านความทนและการกระจายที่ติดทนระดับข้ามภพข้ามชาติ แถมยังกระจายได้ดีมากเช่นกัน (เพื่อนทักว่าได้กลิ่นชัด ในขณะที่มันยืนอยู่ห่างในระยะเกิน 2 เมตร โดยที่เราไม่ได้ยืนอยู่เหนือลมใดๆทั้งสิ้น) บอกเลยว่าสาวๆคนไหนที่มองหาน้ำหอมกลิ่นสวย สง่า มีออร่าความเป็น Queen แนะนำให้ไปหามาลองดู (อาจจะต้องสั่งแบบแบ่งขายนะ เพราะเค้าเตอร์ในไทยยกออกไปซักพักใหญ่ๆแล้ว)
หาโอกาสใช้ในเมืองไทยค่อนข้างยาก ถ้าไม่อยู่ในห้องแอร์จริงๆคงเอาไม่อยู่ เหมาะกับการใส่ออกเดตหรือเที่ยวดูหนังกับคนรักสองต่อสอง นอกจากนี้ยังเหมาะกับการใส่เที่ยวผับยามกลางคืนอีกด้วย ผู้หญิงลุค Bad Girl หรือสาวเท่ขาร็อคทั้งหลายไม่ควรมองข้ามน้ำหอมกลิ่นนี้จ้า ใส่แล้วอาจจะงานเข้าได้ง่ายๆเลย
____________________________________________