วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[::REVIEW::] Chloé – LOVE STORY


[::REVIEW::]
Chloé – LOVE STORY
Perfumer : Anne Flipo
Launched Year : 2014

Fragrance Notes
Top Notes : Cape Gooseberry, Neroli
Middle Notes : Stephanotis, Orange Blossom Absolute
Base Notes : Petitgrain, Cedarwood

_____________________________________________


               “LOVE STORY” น้ำหอมกลิ่นใหม่ล่าสุดจาก Chloe ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวความโรแมนติกของสะพานไม้ใจกลางกรุงปารีสที่มีชื่อเรียกขานกันว่า “Pont Des Arts” ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวจากทั่วทุกมุมโลกแวะเวียนกันมาที่สะพานไม้แห่งนี้เพื่อนำกุญแจ Love Locks มาคล้องกันที่บริเวณริมขอบสะพาน เป็นสัญญารักระหว่างคู่หนุ่มสาวว่าเขาและเธอจะรักกันตลอดไป ไม่มีสิ่งใดมาพรากพวกเขาไปจากกันได้ Chloe ได้นำกุญแจ Love Locks นี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์น้ำหอม LOVE STORY ผ่านแพกเกจจิ้งรูปแม่กุญแจ โดยผสมผสานรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำหอมอันโด่งดังทั้ง 3 รุ่นของ Chloe เข้าด้วยกัน ประกอบด้วย Chloé EAU DE PARFUM, LOVE Chloé และ See by Chloé


               LOVE STORY มีกลิ่นที่เรียบง่าย สบายๆ แม้จะดูขัดกับธีมที่สุดแสนจะโรแมนติกไปบ้าง แต่ความเรียบง่ายนี่แหละที่เป็นจุดสำคัญที่มัดใจสาวๆเมืองร้อนได้อย่างไม่ยากเย็น เนื่องด้วยเนื้อกลิ่นโทน Floral ที่สดชื่น ใสสะอาดราวกับหยาดน้ำค้างบริสุทธิ์ในยามเช้า ได้ดมทีไรก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกดีๆ เหมือนวันที่โลกมีแต่ความสดใส และรอยยิ้มที่จริงใจเป็นธรรมชาติ ด้วยเหตุฉะนี้ LOVE STORY จึงเป็นน้ำหอมเพียงกลิ่นเดียวของแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์คำว่า Safe Scent ได้ดีที่สุด โดยที่รุ่นอื่นไม่อาจเทียบเทียมได้

               ส่วนผสมหลักๆจะประกอบไปด้วยดอกไม้สีขาวซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Neroli, Orange Blossom และ Stephanotis (ดอกมะลิจากมาดากัสการ์) ดอกไม้สีขาวนานาชนิดเหล่านี้ถูกผสมผสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เกิดกลิ่น Floral ที่สะอาด สดชื่น และเปี่ยมไปด้วยความเฟมินีนแบบทันสมัย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับหญิงสาวสมัยใหม่ในลุคเรียบร้อย อ่อนโยน ยิ่งหากสวมชุดสีขาวสะอาดตา แต่งหน้าอ่อนๆพองามยิ่งดูเข้ากันเป็นพิเศษ เพราะโดยส่วนตัวมองว่าน้ำหอมกลิ่นนี้มีเสน่ห์อยู่ที่ความเรียบง่าย ดูธรรมดา ไม่หวือหวาแต่โดดเด่นที่ความบริสุทธิ์ อันหาไม่ได้ในน้ำหอม Chloe รุ่นอื่นๆ

               ในช่วงต้นพบกับดอก Neroli ที่ให้กลิ่นอายผสมผสานระหว่างโทน Citrus และ White Floral อย่างละครึ่ง มอบความสดชื่นแบบสะอาด ขาวใส ประหนึ่งน้ำในลำธารที่ใสและเย็น แต่แนะนำว่าไม่ควรดมที่ผิวจังๆ ควรดมในระยะห่างออกมาหน่อยหรือจับกลิ่นจาก Sillage ที่กระจายออกมาจะดีกว่า เพราะกลิ่นเปรี้ยวนั่นค่อนข้างแหลมคม หากดมติดผิวเลยล่ะก็ แสบจมูกแน่นอน

               ช่วงกลางยังคงดำเนินด้วยโทน White Floral เช่นเดิม Neroli ยังคงมอบความสดชื่นในแบบดอกไม้สีขาว โดยเสริมความเต็มแน่นด้วย Orange Blossom และ Stephanotis ซึ่งเจ้าดอกไม้ชื่อประหลาดนี้มันคือดอกมะลิของมาดากัสการ์เขา (ส่วนตัวก็ไม่เคยได้กลิ่นหรอกนะ เอาจริงๆ) มอบความ Bright และ Sparkling แบบเข้าถึงง่ายมากๆ ชวนนึกถึงน้ำหอมสามัญประจำบ้านอย่าง Clinique happy และ Tory Burch EDP และหากคุณต้องการ Pure Poison ในเวอร์ชั่นที่ Pure จริงๆ ไม่มี Poison ผสม ลองดู Chloe Love Story กลิ่นนี้ดูได้

               ช่วงเบสโน้ตออกทาง White Floral จืดๆ ผสม Musky ใสๆ โดยโน้ตที่ปรากฏในช่วงนี้คือ Musk กับ Petit grains (โน้ตที่สกัดจากมาจากกิ่งและใบของต้นส้ม ซึ่งจะมีกลิ่นเขียวปนเปรี้ยวซิตรัสแรงๆ) ในจุดนี้ Petit Grain ทำหน้าที่เสริมความเปรี้ยวและสดชื่นเชิงส้มในห้วงสุดท้าย สานต่อจาก Neroli และ Orange Blossom นั่นเอง

               LOVE STORY ไม่ได้เอาดีในเรื่องความหรูหรา เย้ายวน ชวนงานเข้า หากแต่มันมีดีทางด้านความสะอาด อ่อนโยนและเป็นมิตรกับคนรอบข้าง ซึ่งก็น่าเสียดายที่ความใสสะอาดของมันไม่ได้เข้ากับธีมกุญแจ Love Locks สุดโรแมนติกเลย (เห็นคอนเซปในตอนแรกแล้วแอบคิดว่านี่จะต้องมาฟีลกลิ่นโรแมนติกจ๋าซะอีก) เอาจริงๆแล้วมันสดชื่นมากๆ แถมยังใช้ง่ายมากๆอีกด้วย จะใส่ในยามอากาศร้อนก็เหมาะ ความทน ติดทนปานกลางสำหรับเบสความเข้มข้น Eau de Parfum กระจายตัวพอได้บ้างนิดๆหน่อยๆ สาวๆคนไหนชอบน้ำหอมกลิ่นสะอาดและเฟมินีน แนะนำให้ลอง


Chloé – LOVE STORY's commercial
_________________________________________________________