วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

[::REVIEW::] Dior – J’adore L’Or ESSENCE DE PARFUM



[::REVIEW::]
Dior – J’adore L’Or ESSENCE DE PARFUM
Launched Year : 2010


Fragrance Notes
Top Notes : Rose de Mai Absolute
Middle Notes : Jasmin de Grasse Absolute
Base Notes : Tahitian Vanilla Absolute

________________________________________


               J’adore L’Or น่าจะขึ้นแท่นเป็นน้ำหอมตัว Top สุดของไลน์ J’adore แล้วล่ะมั้งครับ เหตุผลคือ
1.) เจ้าน้ำหอมรุ่นนี้ถูกรังสรรค์ออกมาเพื่อยัดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไลน์สกินแคร์สุดหรูที่มีราคาแพงหูฉีกอย่าง        L’Or de Vie ซึ่งเป็นไลน์สกินแคร์ Top สุดของ Dior
2.) รูปทรงขวดที่ดูหรูหรา และ packaging ที่งดงามเป็นพิเศษเหนือกว่ารุ่นอื่นๆ 
3.) ส่วนผสมที่ล้ำค่า
4.) เบสความเข้มข้นของน้ำหอมที่สูงที่สุดในไลน์ (ไม่นับรุ่น Extrait de Parfum) และ
5.) ราคาต่อหน่วยที่แพงลิบ (40 ml ราวๆ 5,800 บาท)
               ด้วยเหตุประการฉะนี้ เอามงไปเลย ตำแหน่งน้ำหอมตัว Top ของไลน์, J’adore L’Or เป็นน้ำหอมแนว Oriental – Floral โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมหวานและเย้ายวนของดอกไม้ที่ถูกเบลนเข้ากับวานิลา ให้ความรู้สึกอบอุ่น เย้ายวน น่าเข้าหาชวนคลุกวงใน. flanker รุ่นนี้มาในเบสความเข้มข้น Essence de Parfum ซึ่งจัดว่าเป็นรุ่นที่มีเบสความเข้มข้นสูงที่สุดในกลุ่ม ถ้าเปรียบเทียบ J’adore L’absolu คือ Eau de Parfum Intense, J’adore L’Or ก็คงจะเปรียบได้กับ Pure Parfum ที่มีความเข้มข้นมากที่สุดนั่นเอง

               โน้ตอันเป็นหัวใจสำคัญของ J’adore L’Or ประกอบด้วย 3 อย่างหลักๆ ส่วนผสมอย่างแรกคือ Rose de Mai Absolute หรือกุหลาบ May Rose เป็นกุหลาบพันธุ์เดียวกับที่ใช้ปรุง CHANEL No5 ดอกกุหลาบพันธุ์นี้จัดว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่หาได้ยาก เนื่องจากว่าใน 1 ปีมันจะเบ่งบานสะพรั่ง พร้อมให้เก็บเกี่ยวเฉพาะเดือนพฤษภาคมเท่านั้น


               ส่วนผสมถัดไปคือ Jasmine de Grasse Absolute หรือดอกมะลิจากเมือง Grasse, แคว้น Provance, ประเทศฝรั่งเศส. ดอกมะลิจากเมืองนี้นับว่าเป็นส่วนผสมอีกอย่างหนึ่งที่หายากมาก เนื่องจากมีปริมาณการปลูกที่น้อยนิด (ต่างจากลาเวนเดอร์ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายจนเป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองโพรวองซ์) ซึ่งทุกๆวันหยุดแรกของเดือนสิงหาคมในแต่ละปี ที่เมืองแห่งนี้จะจัดเทศกาล “Jasmine Festival in Grasse” เพื่อเฉลิมฉลองให้กับฤดูกาลเก็บเกี่ยวดอกมะลิสุดหายากนี้ถึง 3 วันเต็ม เรื่องราวของเทศกาลนี้สามารถหาอ่านได้ตามอินเตอร์เน็ต ขอไม่พูดถึงรายละเอียดเพราะมันยาว เกรงว่าจะออกนอกทะเลไปมากกว่านี้


               ส่วนผสมสุดท้ายคือตัวประกอบที่เป็นหัวใจสำคัญของ J’adore L’Or นั่นคือ วานิลา. วานิลาที่ใช้ปรุงเป็นส่วนผสมก็ไม่ใช่วานิลาธรรมดาทั่วๆไป เพราะนี่คือ Tahitian Vanilla หรือวานิลาจาก French Polynesia นั่นเอง กลิ่นต่างจากวานิลาธรรมดายังไงอันนี้ก็ไม่ทราบ เพราะส่วนตัวแยกกลิ่นไม่ออกนะ ดมดูก็ได้กลิ่นวานิลาเหมือนเดิม


               ช่วง Top Notes ให้กลิ่นหรูหรามากๆ ตามข้อมูลแจ้งว่าเป็นช่วงของดอกกุหลาบ Rose de Mai แต่โดยส่วนตัวจับกลิ่นมะลิกับวานิลาได้เป็นอย่างแรก มาแบบหวานแน่น จัดเต็ม และเย้ายวนเกิดห้ามใจ ส่วนกุหลาบนั้นดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก เพราะจุดสำคัญจริงๆเขาโฟกัสไปที่ความหวานเฟมินีนจากดอกมะลิกับวานิลาซะมากกว่า


               ตั้งแต่ช่วง Middle Notes ไล่ยาวไปจนถึงช่วง Base มีตัวเด่นคือดอกมะลิ Jasmine de Grasse ให้กลิ่น White Floral หรูหราและมีระดับเช่นเคย ทำหน้าที่โดดเด่นควบคู่ไปกับ Tahitian Vanilla ที่มอบความหวานหยดย้อย หนักแน่นและอบอุ่นสไตล์ Oriental


               ความทนไม่ต้องพูดถึง ทนแบบสุดยอดจริงๆ และกระจายตัวได้ดีในระดับเทพมากๆอีกด้วย แม้ปริมาณใหญ่สุดจะแค่ 40 ml แต่เชื่อเถอะ ปริมาณที่ใช้ต่อ 1 ครั้งมันน้อยจริงๆ เพียง 2 สเปรย์ก็ให้กลิ่นฟุ้งในระดับรอบตัวได้สบายๆ แต่มีข้อแม้นิดนึงว่า ควรใส่ออกงานกลางคืนเท่านั้นนะจ๊ะ ที่อากาศเย็นๆเท่านั้นที่คนรอบข้างจะสามารถรับได้ ยิ่งสวมชุดราตรีสีทองยิ่งเป็นอะไรที่เข้ากันเป็นพิเศษ


____________________________________