วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[::REVIEW::] HERMÈS – UN JARDIN SUR LE NIL



[::REVIEW::]
HERMÈS – UN JARDIN SUR LE NIL
Perfumer : Jean-Claude Ellena
Launched Year : 2005


Fragrance Notes
Top Notes : Grapefruit, Mango, Carrot, Tomato
Middle Notes : Calamus, Lotus, Hyacinth, Peony
Base Notes : Sycamore maple, Frankincense

____________________________________


               
UN JARDIN SUR LE NIL ออกในปี 2005 เป็น flanker รุ่นที่ 2 ของตระกูล LES JARDIN ที่มีคอนเซปคือการนำสวนสไตล์ต่างๆมาสร้างแรงบันดาลใจในการปรุงน้ำหอม สำหรับรุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสวนบัวริมแม่น้ำไนล์ ให้ความรู้สึกชวนนึกถึงสวนบัวที่บรรยากาศเย็น สงบนิ่ง และร่มรื่น

               UN JARDIN SUR LE NIL เป็นน้ำหอมแนว Floral – Fruity ที่มีจุดขายคือความเขียวขจีเป็นธรรมชาติและความสดชื่นแบบมีระดับตามสไตล์น้ำหอมจากเฮ้าส์ HERMÈS ที่มักจะมีกลิ่นอายหรูๆพ่วงมาด้วยเสมอ SUR LE NIL ก็ตามนั้นเลย สะอาด บางเบา แต่มีความหรูหราในตัวของมันเอง

               ส่วนผสมหลักๆจะประกอบด้วยโน้ตของเกรฟฟรุ๊ต มะม่วง และดอกบัว ซึ่งรวมกันแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นฉ่ำๆมีชีวิตชีวาตั้งแต่ต้นจนจบ ภาพของผืนน้ำใสๆที่นิ่งและเย็นเริ่มลอยเข้ามาในจินตนาการ เรานึกถึงฝักบัวสีเขียวที่โผล่ขึ้นมาใจกลางบึง แซมกับดอกบัวสีขาวอมชมพูนวลๆ และใบบัวสีเขียวแก่ ท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี บรรยากาศเย็น เงียบสงัด เจอกับลมเอื่อยๆที่ค่อยๆพัดมา พูดง่ายๆคือบรรยากาศชวนให้นอนหลับใต้ร่มไม้ อ่านหนังสือ หรือชมทิวทัศน์ธรรมชาติ อะไรทำนองนั้น

               ช่วงเปิด เราสามารถพบกับความสดชื่นและเขียวในทันที มาในโทน Citrus - Fruity โดยมีเกรฟฟรุ๊ตกับมะม่วงนำ มอบความชุ่มฉ่ำราวกับน้ำฝนเย็นๆที่โหมกระหน่ำสาดลงมายังสวนผลไม้ ซึ่งโดยส่วนตัวชอบกลิ่นมะม่วงของ SUR LE NIL มากกกก มันเป็นมะม่วงเขียวๆ (คล้ายๆมะม่วงมันดิบน่ะครับ) เมื่อเจอกับซิตรัสแล้วยิ่งเข้ากัน มีมะเขือเทศกับแครอทเป็นตัวรองด้วย แต่ส่วนตัวจับกลิ่นมะเขือเทศได้นิดๆ

               ช่วงกลางเด่นที่ดอกบัวสะอาดๆ แฝงมากับความสดชื่นเขียวๆจากเกรฟฟรุ๊ตและมะม่วง ในบางแว้บจับกลิ่นโทน Woody ที่แทรกตัวขึ้นมาได้หน่อยๆ แล้วซักพักก็หาย แล้วก็แว้บขึ้นมาใหม่ เหมือนโทน Woody วนเวียนให้จับกลิ่นได้เรื่อยๆในช่วงนี้ และจะโดดเด่นเต็มที่ในช่วงเบส

               ส่วนตัวคิดว่า เบสโน้ตของ SUR LE NIL ทำได้ดีกว่าพี่น้องทุกกลิ่นในตระกูลนะ เราเคยสเปรย์ทั้ง 4 กลิ่นลงบนผิวพร้อมๆกัน (แต่สเปรย์กันคนละจุด) ยกแขนขึ้นมาดมพบว่า SUR LE NIL นี่แหละที่ส่งกลิ่นได้โอเคที่สุด ถูกจริตที่สุดในทั้ง 4 กลิ่น ซึ่งส่วนนึงน่าจะเข้ากับเคมีในผิวด้วย โดยในช่วงนี้จะเข้าทาง Woody มากขึ้น ซึ่งน่าจะมาจากโน้ตของ Frankincense หรือธูปกำยาน แต่ส่วนตัวจับกลิ่นไม่ได้ครับ

               ความทนอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ราวๆ 6 ชั่วโมง เหมาะกับใส่ในยามอากาศร้อนหรือวันสบายๆ เช่น วันหยุด ใส่เล่นกีฬา ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ฯลฯ ส่วนการกระจายตัวนั้นรู้สึกค่อนข้างจะติดผิวไปนิด ไม่ค่อยกระจายเท่าไหร่ คงต้องอาศัยการขยับร่างกายไปมาเพื่อช่วยให้กระจายได้มากขึ้น แต่ส่วนตัวไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้เพราะตกหลุมรักตั้งแต่ได้ลองกลิ่นแล้ว ถึงจะเป็น Skin scent เราก็โอเค 555


____________________________________